“ไออาร์พีซี” ตั้งงบลงทุนปี 60 แตะ 1 หมื่นล้านบาท ลุยโครงการส่วนขยาย PP เพิ่มอีก 3 แสนตัน มั่นใจปีหน้ากำไรโตกว่าปีนี้หลังรับรู้รายได้หลายโครงการทั้ง UHV ส่วนขยาย PP และโครงการเอเวอเรสต์
นายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC) เปิดเผยว่า ในปี 2560 บริษัทตั้งงบลงทุนอยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาทเพื่อใช้ในโครงการขยายกำลังการผลิต PP อีก 3 แสนตัน/ปี ทำให้มีกำลังการผลิตเม็ดพลาสติก PP เพิ่มเป็นปีละ 7.75 แสนตัน และงบลงทุนทั่วไป โดยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2560 บริษัทจะปิดซ่อมบำรุงใหญ่เป็นเวลา 30 วัน ส่งผลให้กำลังการกลั่นในปีหน้าจะเฉลี่ยใกล้เคียงปีนี้ที่ 1.8 แสนบาร์เรล/วัน ทำให้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2560 ค่อนข้างต่ำ
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ตั้งเป้าว่าปี 2560 จะมีกำไรเติบโตสูงขึ้นกว่าปี 2559 เนื่องจากรับรู้รายได้จากโครงการปรับปรุงคุณภาพการผลิตสู่ผลิตภัณฑ์สะอาด (UHV) เต็มปี โครงการขยายกำลังการผลิต PP ที่จะแล้วเสร็จไตรมาส 2/2560 และโครงการเอเวอเรสต์ (Everest) ทำกำไรก่อนต้นทุนการเงินและภาษี (EBIT) 200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7 พันล้านบาท
รวมทั้งแนวโน้มค่าการกลั่นรวมเฉลี่ย (GIM) ในปี 2560 จะต่ำกว่าปีนี้เล็กน้อย 20-30 เซ็นต์/บาร์เรล เนื่องจากมาร์จิ้นปิโตรเคมีลดลงเป็นผลจากต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้นจากราคาน้ำมันที่สูงแต่มาร์จิ้นโรงกลั่นน้ำมันดีขึ้น รวมทั้งบริษัทรับรู้รายได้จากโครงการเอเวอเรสต์เข้ามาชดเชยทำให้ทั้งปีบริษัทฯ มีกำไรสูงขึ้น
ส่วนผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯ อาจมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและภาษี (EBITDA) ต่ำกว่าที่วางไว้ 1.95 หมื่นล้านบาท เนื่องจากเป้าหมายรับรู้กำไรฯ จากโครงการเอเวอเรสต์ที่ตั้งไว้ 3.4 พันล้านบาทลดลงเหลือ 2.7 พันล้านบาท เป็นผลสืบเนื่องจากโครงการ UHV ที่เสร็จล่าช้ากว่าแผน แต่มั่นใจว่าทั้งปี 2559 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเติบโตขึ้นจากปีก่อนหากราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้ไตรมาส 4 นี้โรงกลั่นมีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน
นายสุกฤตย์กล่าวต่อไปว่า ในปีหน้าบริษัทฯ มีหนี้ที่ครบกำหนดชำระประมาณ 2 หมื่นล้านบาท โดยเดิมบริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้ 1 หมื่นล้านบาท และกู้เงินแบบ Syndicated Loan จากสถาบันการเงินอีก 1 หมื่นล้าน แต่ขณะนี้มี 3 สถาบันการเงินเสนอเงื่อนไขมาดีมากทำให้ดอกเบี้ยจ่ายลดลง 1% จากปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย 4% ทำให้บริษัทฯ ตัดสินใจที่จะกู้เงิน Syndicated Loan มากขึ้นเป็น 1.5 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือจะพิจารณาว่าจะออกหุ้นกู้หรือกู้แบบ Syndicated Loan ต่อไป
