xs
xsm
sm
md
lg

“เซ็นทรัล” ปรับรับตลาดเปลี่ยน ผนึกค้าปลีก-ดิจิตอลสู่ไลฟ์สไตล์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด [แฟ้มภาพ]
ผู้จัดการรายวัน 360 - กลุ่มเซ็นทรัลปรับทัพรับศึก 10 ปีข้างหน้า ดึงมือโปรคนนอกร่วมทีมผู้บริหารใหม่ 5 ราย มุ่งสู่ผู้นำกลุ่มธุรกิจ “ไลฟ์สไตล์และการบริการ” โฟกัสเรื่องของเทคโนโลยีดิจิตอลและค้าปลีกให้เป็นหนึ่งเดียวกัน รุกหนักต่างประเทศ คาดอนาคตยอดขายออนไลน์พุ่งเป็น 10% ของรายได้รวมทั้งกลุ่มที่คาดว่าจะปิดที่ 3.2 แสนล้านบาท เติบโต 21% ในปี 2559

นายทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมากลุ่มเซ็นทรัลมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ 3 ครั้ง โดยการดำเนินงานอยู่ใต้การบริหารในแบบคณะกรรมการบริหาร จนมาถึงปัจจุบันพบว่าสถานการณ์ต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โลกเปลี่ยน หลายอย่างเปลี่ยน พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน จึงต้องมีการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ให้เกิดความแข็งแรงและพร้อมก้าวไปสู่การดำเนินธุรกิจในอนาคตและรองรับการแข่งขันในอีก 10 ปีนับจากนี้

ล่าสุดจึงประกาศแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงใหม่ คือ 1. ดร.ประสาน ไตรรัตน์วรกุล ตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโส รับผิดชอบด้านการประสานงานภาครัฐและธรรมาภิบาล 2. ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ ตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโส รับผิดชอบธุรกิจต่างประเทศฝั่งยุโรปและสหรัฐอเมริกา 3. นายญนน์ โภคทรัพย์ President of Central Group รับผิดชอบลูกค้าและซัปพลายเออร์ 4. นายนิโคโล กาลันเต้ Chief Operating Officer, Central Group รับผิดชอบด้านออนไลน์ และ 5. นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ กลุ่มเซ็นทรัล รับผิดชอบ CLMV

กลุ่มเซ็นทรัลได้วาง 3 ยุทธศาสตร์ไปสู่อนาคต คือ 1. มุ่งสู่ความเป็นบริษัทด้านไลฟ์สไตล์และการบริการ ศูนย์รวมแห่งการท่องเที่ยว ชอปปิ้ง พักผ่อน และความบันเทิงอย่างครบวงจร 2. ให้ความสำคัญต่อเทคโนโลยีดิจิตอลเพื่อพลิกโอกาสทางธุรกิจ สร้างประสบการณ์ชอปปิ้งในรูปแบบออนไลน์ หรืออีคอมเมิร์ซ และ 3. บุกตลาดธุรกิจไปยังกลุ่มเออีซี/ซีแอลเอ็มวี

จากการที่มุ่งสู่ความเป็นบริษัทด้านไลฟ์สไตล์และการบริการในอนาคตถือเป็นความท้าทายอย่างมาก จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้ที่ 3.2 แสนล้านบาท เติบโต 21% โดยช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีการเติบโตแบบก้าวกระโดดจากสัดส่วนรายได้ในประเทศ 70% และต่างประเทศ 30% โดยเฉพาะต่างประเทศนั้นเติบโต 12 เท่าจาก 7 พันล้านบาท เป็น 1 แสนล้านบาท

“แต่หลังจากนี้การดำเนินงานจะมีความซับซ้อนและท้าทายมากยิ่งขึ้น จากการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมของลูกค้า จากเดิมจะเป็นกลุ่มเบบี้บูม หลังจากนี้จะแบ่งออกเป็น เจน X , Y , Z, เบบี้บูม และกลุ่มผู้สูงอายุซึ่งคาดว่าอีก 5 ปีจะมีสัดส่วนเท่าๆ กัน ทำให้รูปแบบการทำตลาดจำเป็นต้องแตกต่างกัน รวมถึงกลุ่มลูกค้าต่างชาติจากเดิมเป็นกลุ่มยุโรป ปัจจุบันมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ทั้งจีน ตะวันออกกลาง รัสเซีย และเอเชีย เป็นต้น เกิดเป็นความหลากหลายในแง่ของลูกค้า ถือเป็นความท้าทายในการทำงานอีกส่วนด้วย”

นายทศกล่าวอีกว่า กระแสดิจิตอลและเทคโนโลยีใหม่ๆ จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกอย่างและส่งผลกระทบต่อหลายอุตสาหกรรม โดยมองว่าโลกอนาคตจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยี 100% กับพฤติกรรมทุกอย่างของลูกค้าตั้งแต่ซื้อไปจนถึงขั้นตอนการส่งสินค้า ส่งผลให้อี-คอมเมิร์ซจะเข้ามามีบทบาทสูงมาก โดยบริษัทฯ จะให้ความสำคัญและมุ่งพัฒนาอี-คอมเมิร์ซกับค้าปลีกให้เป็นเรื่องเดียวกัน

“ปัจจุบันบริษัทฯ มียอดขายออนไลน์ 2.5 พันล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 1% ของรายได้รวม เช่นเดียวกับตลาดรวมค้าปลีกไทยที่ออนไลน์มีสัดส่วนเพียง 2% จึงยังเติบโตได้อีก จากนี้จึงจะมุ่งลงทุนเรื่องเทคโนโลยีมากขึ้นเท่าตัว จากปีละ 2-3 พันล้านบาท เพื่อสร้างรายได้ในกลุ่มออนไลน์ให้ขยับเพิ่มเป็น 4-5% ของรายได้รวมภายใน 5ปีนับจากนี้”

นอกจากนี้ยังจะเน้นการค้าขายเขตชายแดน หรือ CLMV และกลุ่มประเทศในอาเซียนด้วย โดยจะมีแผนลงทุนอย่างต่อเนื่องเพราะมีโอกาสเติบโตสูง จากปกติที่แต่ละปีใช้งบลงทุนรวมทั้งในประเทศและต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาท รวมถึงให้ความสำคัญและส่งเสริมธุรกิจ SMEs ไทยให้เติบโตยั่งยืน



กำลังโหลดความคิดเห็น