ผู้จัดการรายวัน360 - “เซ็นทรัล” เดินเครื่องขยายตลาดต่างประเทศ โหมเต็มที่ตลาดเดิมทั้งเวียดนามกับยุโรป โฟกัสเวียดนามหลังขายหุ้น “บิ๊กซี” ทิ้งไนไทย พร้อมทุ่มหมื่นล้านลุยปรับปรุงห้างในยุโรปตามแผน 5 ปี
นายทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด เปิดเผยว่า จากนี้ไปบริษัทฯ จะมุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจในต่างประเทศอย่างเต็มที่ทั้งในยุโรปและเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเวียดนาม เนื่องจากเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตของภาคเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงประมาณ 20 ปีที่ผ่านมาเวียดนามมีขนาดของเศรษฐกิจคิดเป็นสัดส่วน 10% ของเศรษฐกิจไทย ขณะที่ 10 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเป็น 30% และปัจจุบันมีขนาดเท่ากับ 50% ของเศรษฐกิจไทยซึ่งคาดว่าอีกไม่นานก็จะเทียบเท่าไทยแล้ว โดยมีกลุ่มอาหารและเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นธุรกิจที่มาแรง ขณะที่ “เซ็นทรัล” ก็มีกิจการพวกนี้ที่พร้อมจะขยายได้ครบอยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้ “กลุ่มเซ็นทรัล” ได้เข้าซื้อกิจการ “บิ๊กซี” ในประเทศเวียดนามเมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา และตัดสินใจขายหุ้นที่ถืออยู่ใน “บิ๊กซี ประเทศไทย” ทั้งหมดให้กลุ่มธุรกิจของ นายเจริญ สิริวัฒนภักดี ที่ได้เข้าซื้อกิจการจากทางกลุ่มกาสิโนในประเทศไทยก่อนหน้านี้ โดย “กลุ่มเซ็นทรัล” มีแผนที่จะขยายธุรกิจค้าปลีกให้ครอบคลุมทุกรูปแบบในเวียดนามจากนี้ จากปัจจุบันที่มีห้างค้าปลีก-ส่ง “บิ๊กซี” 32 สาขา, ห้างสรรพสินค้า “โรบินส์” และร้านค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้า “เหงียนคิม”
ทั้งนี้ รูปแบบการขยายธุรกิจในเวียดนามนั้นมีหลากหลายแนวทาง ไม่ว่าจะเป็นการนำธุรกิจที่มีอยู่แล้วมาผนวกรวมกันเพื่อเพิ่มให้เกิดความครอบคลุมตลาดในวงกว้างมากที่สุด เช่น การนำห้างสรรพสินค้า “โรบินส์” มาเปิดใน “บิ๊กซี” เป็นต้น นอกจากนี้ยังมองโอกาสที่จะนำธุรกิจที่มีศักยภาพในไทยเข้าไปยังเวียดนามเพิ่มเติม โดยก่อนหน้านี้ได้เปิดร้านค้าปลีกสินค้ากีฬา “ซูเปอร์สปอร์ต” ไปแล้ว
นายทศกล่าวต่อด้วยว่า ในส่วนของชื่อ “บิ๊กซี” บริษัทฯ ยังคงมีสิทธิ์ที่จะใช้ชื่อ “บิ๊กซี” ในเวียดนามได้อีกอย่างน้อย 10 ปี โดยคาดว่าเร็วๆ นี้คงอาจจะต้องเปลี่ยนชื่อใหม่เพื่อให้เกิดความชัดเจน แต่เวลานี้ยังไม่มีการสรุปเรื่องชื่อใหม่
สำหรับธุรกิจในยุโรป บริษัทฯ จะมุ่งเน้นในตลาดเดิมก่อน ยังไม่มีแผนที่จะเข้าซื้อกิจการใหม่ในประเทศอื่น เพื่อต้องการที่จะดำเนินการในสิ่งที่มีอยู่แล้วให้แข็งแรงและเต็มที่ อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็ได้เข้าซื้อกิจการมาจำนวนมากและครอบคลุมตลาดห้างสรรพสินค้าชั้นนำไว้มากแล้ว ทิศทางจากนี้จะเน้นปรับปรุงและทำการตลาดเป็นหลัก โดยบริษัทฯ เตรียมงบประมาณไว้ลงทุนระยะยาว 5 ปี รวม 1 หมื่นล้านบาท เพื่อจะผลักดันรายได้จากยุโรปให้เติบโตเป็นเท่าตัวใน 5 ปี จากปัจจุบันที่มีรายได้ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท เท่ากับรายได้ในเวียดนาม
นายทศกล่าวถึงภาพรวมธุรกิจในไทยว่า ยังมีโอกาสที่จะขยายกิจการได้อีก โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจระดับบน เช่น การเปิดร้านแบบซูเปอร์สโตร์ที่หรูหรามีขนาดใหญ่กว่าและมีสินค้าที่หลากหลาย ด้านภาพรวมรายได้ในปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ตามที่ประมาณการ 18.9% จากปีก่อนที่มีรายได้ 337,040 ล้านบาท เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยลบเข้ามากดดันทำให้รายได้ตั้งแต่ต้นปียังเป็นไปตามเป้าหมาย
