แต่งตั้งบิ๊ก ร.ฟ.ท.ล็อตใหญ่ส่อป่วน “ผู้ช่วยผู้ว่าฯ” ร้องผลการคัดสรรตั้งรองผู้ว่าฯ ไม่โปร่งใส ไร้หลักเกณฑ์ ข้ามระบบอาวุโส ยื่นบอร์ดและผู้ว่าฯ ขอทราบหลักเกณฑ์ ผลคะแนนภายใน 5 วัน พร้อมเตรียมยื่นฟ้องศาลเป็นรายบุคคล กรณีละเว้น มาตรา 157 และยื่นนายกฯ และหัวหน้า คสช.ด้วย ชี้รถไฟต้องมีบรรทัดฐานเพื่อพนักงานทุกระดับ ไม่ใช่ไร้คุณธรรมกลั่นแกล้งแบบนี้
รายงานข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) แจ้งว่า ในการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ร.ฟ.ท.ครั้งที่ 16/2559 เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2559 ที่มีนายพิชิต อัคราทิตย์ เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งเลื่อนระดับและโยกย้ายพนักงานรวม 14 ตำแหน่ง โดยระบุว่าเพื่อให้การบริหารจัดการและปฏิบัติงานดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยเหมาะสม มีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยในระดับรองผู้ว่าฯ ถือว่าเป็นการโยกย้ายสลับหน้าที่รับผิดชอบและมีแต่งตั้งทดแทนครั้งใหญ่ เพราะมีรองผู้ว่าฯ ร.ฟ.ท.ที่ครบเกษียณอายุในวันที่ 30 ก.ย. 2559 ถึง 3 คน คือ นายกมล ตั้งกิจเจริญชัย รองผู้ว่าฯ ร.ฟ.ท.กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน, นายปานฑพ มาลากุล ณ อยุธยา รองผู้ว่าฯ ร.ฟ.ท.กลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน และ นายณรงค์ฤทธิ์ ศิวะสาโรช รองผู้ว่าฯ ร.ฟ.ท.กลุ่มธุรกิจการซ่อมบำรุงรถจักรและล้อเลื่อน
ซึ่งนายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร ผู้ว่าฯ ร.ฟ.ท. ได้ลงนามคำสั่งเมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2559 แต่งตั้งโยกย้ายรวม 14 ราย มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2559 เป็นต้นไป
ได้แก่ 1. ให้นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มอำนวยการ (นักบริหาร 14) ไปดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการซ่อมบำรุงรถจักรและล้อเลื่อน 2. ให้นายประเสริฐ อันนะนันทน์ รองผู้ว่าการกลุ่มบริหารธุรกิจรถไฟฟ้า (นักบริหาร 14) ไปดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าการกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน 3. ให้นางสิริมา หิรัญเจริญเวช ผู้อำนวยการฝ่ายบริการสินค้า (นักบริหาร 13) ดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน (นักบริหาร 14)
4. ให้นายเอก สิทธิเวคิน ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและการบัญชี (นักบริหาร 13) ดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าการกลุ่มอำนวยการ (นักบริหาร 14) 5. ให้นายจเร รุ่งฐานีย์ วิศวกรฝ่ายการช่างโยธา (นักบริหาร 13) ดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าการกลุ่มบริหารรถไฟฟ้า (นักบริหาร 14) 6. นางสาวเจษฎาพร ยุทธนวิบูลย์ชัย ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ (นักบริหาร 13) ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้ว่าการด้านบริหาร (นักบริหาร 13) เป็นต้น
ผศ.ดร.ศิริพงศ์ พฤทธิพันธุ์ ผู้ช่วยผู้ว่าฯ ร.ฟ.ท.กล่าวว่า เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2559 ตนได้ยื่นหนังสือถึง นายพิชิต อัคราทิตย์ ประธานบอร์ด ร.ฟ.ท. และกรรมการ ร.ฟ.ท.อีก 7 ท่าน เพื่อขอทราบคะแนน หลักเกณฑ์และเหตุผลในการแต่งตั้งเลื่อนระดับพนักงาน ระดับ 13 เป็นระดับ 14 ครั้งนี้ และขอให้บอร์ดมีมติระงับคำสั่งแต่งตั้งเลื่อนระดับดังกล่าวไว้ก่อน จนกว่าจะทบทวนกระบวนการคัดสรรให้ถี่ถ้วน โดยขอทราบผลภายใน 5 วัน
พร้อมกันนี้ ได้ทำหนังสือต่อนายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร ผู้ว่าฯ ร.ฟ.ท.ในฐานะประธานกรรมการพิจารณาเบื้องต้นเพื่อสรรหาผู้มีความเหมาะสมสืบทอดตำแหน่งนักบริหาร 13-14 และกรรมการด้วย
โดยหนังสือได้ระบุเหมือนกันว่า เนื่องจากตนเป็นหนึ่งในผู้ยื่นสมัครและมีคุณสมบัติสูงสุดแต่ไม่ได้รับการคัดเลือก จึงเห็นว่ามีความไม่โปร่งใสไม่เป็นธรรมในการดำเนินการของคณะกรรมการหลายประการ จึงขอรับทราบคะแนนหลักเกณฑ์ และเหตุผลในการพิจารณาคัดสรรของแต่ละท่าน เพื่อประกอบการพิจารณาเรียกร้องความยุติธรรม
โดยจะเดินหน้าฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมเป็นรายบุคคลฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใดผู้หนึ่งตามมาตรา 157 และยื่นร้องขอความเป็นธรรมต่อนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. รวมถึงทูลเกล้าฯ ยื่นถวายฎีกา
ผศ.ดร.ศิริพงศ์กล่าวว่า ต้องการทราบหลักเกณฑ์ผลคะแนน เนื่องจากมีประกาศรับสมัครเมื่อเดือน มิ.ย. 2559 โดยไม่บอกเกณฑ์การวัดผล มาประกาศเกณฑ์ภายหลังที่ประกาศผลแล้ว ที่สำคัญ การแต่งตั้งครั้งนี้มีความไม่โปร่งใสอย่างมาก เช่น ผู้ที่เพิ่มขึ้นระดับ 13 เพียง 1 ปี ขึ้นเป็นรองผู้ว่าฯ ระดับ 14 ขณะที่ตนเป็นนักบริหาร 13 มา 10 ปีแล้วไม่ได้รับการพิจารณาเพราะสั่งไม่ได้ทุกเรื่อง เป็นการข้ามอาวุโส และเมื่อปีที่แล้ว ที่ได้เข้ารับการคัดสรรด้วย แต่ผู้ว่าฯ ร.ฟ.ท.ขอร้องไว้ขอตั้งคนของตัวเองก่อน ซึ่งเมื่อมีคำสั่งแต่งตั้งล่าสุดออกมาจึงเห็นว่าไม่โปร่งใส รถไฟควรมีบรรทัดฐานหลักเกณฑ์ในการคัดสรรผู้บริหารให้ดี ไม่ใช่ทำแบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“การพิจารณาตำแหน่งต่างๆ ถ้าใช้ระบบคุณธรรมผสมอุปถัมภ์ยังพอรับได้ แต่ที่ทำงานรถไฟมาทั้งชีวิต ไร้คุณธรรม มีการกลั่นแกล้ง ขนาดเป็นผู้บริหารระดับสูงโดนซ้ำแล้วซ้ำอีก พนักงานระดับล่างไม่ต้องพูดถึง คนเดินตามนาย ทำตามนายสั่งมักได้ดี แต่อย่างไรก็ตาม ขอให้มีระบบบ้าง บรรทัดฐานบ้างน่าจะดีสำหรับรถไฟ” ผศ.ดร.ศิริพงศ์กล่าว