“พาณิชย์” ประกาศขึ้นทะเบียน “ปลากุเลาเค็มตากใบ” และ “เนื้อโคขุนโพนยางคำ” เป็นสินค้า GI เพิ่มอีก 2 รายการ ทำให้มีสินค้า GI แล้ว 71 สินค้า จาก 51 จังหวัด อยู่ระหว่างพิจารณาคำขอ 16 จังหวัด เตรียมลงพื้นที่ผลักดันในอีก 10 จังหวัด ตั้งเป้าภายในปี 60 ต้องมีสินค้า GI ครบทุกจังหวัด
นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2559 ที่ผ่านมา กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ประกาศขึ้นทะเบียนสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) จำนวน 2 รายการ คือ ปลากุเลาเค็มตากใบ จังหวัดนราธิวาส และเนื้อโคขุนโพนยางคำ จังหวัดสกลนคร ทำให้ปัจจุบันมีสินค้าไทยที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น GI แล้ว 71 สินค้า จาก 51 จังหวัด และยังอยู่ระหว่างพิจารณาคำขอขึ้นทะเบียน GI จาก 16 จังหวัด ทำให้เหลืออีก 10 จังหวัดที่ยังไม่มีการยื่นคำขอขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ซึ่งจะเร่งส่งเสริมสร้างความเข้าใจกับจังหวัดที่เหลือต่อไป
ทั้งนี้ ในส่วนของปลากุเลาเค็มตากใบ ได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งปลาเค็ม เนื่องจากเป็นปลาเค็มรสชาติไม่เค็มจัด เนื้อฟู มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ ผลิตจากปลากุเลาสดในท้องถิ่นซึ่งเป็นพื้นที่ติดชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ท้องทะเลมีความอุดมสมบูรณ์ เพราะอยู่ติดกับแม่น้ำตากใบ และแม่น้ำสุไหงโก-ลก ที่นำพาแร่ธาตุไหลลงสู่ทะเล ทำให้ชายฝั่งทะเลแถบอำเภอตากใบมีแพลงก์ตอนจำนวนมากเป็นอาหารของปลากุเลา โดยผลิตตามกรรมวิธีที่พิถีพิถันที่สืบทอดกันมากว่า 100 ปี ใช้กระดาษผูกมัดห่อหัวปิดปากปลาเพื่อป้องกันไม่ให้แมลงเข้าไปวางไข่หรือกัดกินได้แล้วตากแดดโดยการห้อยหัวลงเพื่อให้น้ำออกจากตัวปลา ทำให้ปลากุเลาเค็มตากใบสะอาดปราศจากแมลงและอร่อยเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนปลากุเลาเค็มจากแหล่งอื่นๆ ได้รับความนิยมทั้งในพื้นที่และต่างจังหวัด ตลอดจนประเทศใกล้เคียง เป็นของฝากที่มีคุณค่า จนมีคำพูดติดปากว่า “คนกินไม่ได้ซื้อ คนซื้อไม่ได้กิน” ที่บรรยายถึงความนิยมของปลากุเลาเค็มตากใบ ที่จะซื้อเป็นของฝากมากกว่านำมารับประทานเอง เพราะมีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 1,200-1,500 บาท
สำหรับเนื้อโคขุนโพนยางคำ เป็นเนื้อโคขุนคุณภาพสูงที่บ่มในห้องเย็น มีไขมันแทรกในปริมาณที่เหมาะสม ทำให้มีความนุ่ม มัน หวาน หอม อร่อย โดยจะผลิตจากโคเนื้อลูกผสมระหว่างโคสายพันธุ์ยุโรปกับโคสายพันธุ์พื้นเมือง พร้อมทั้งผ่านกระบวนการเลี้ยง ในพื้นที่ราบสูงและที่ราบลุ่มลอนคลื่นที่ตั้งระหว่างเทือกเขาภูพานกับแม่น้ำโขงหรือที่เรียกว่าอีสานเหนือหรือแอ่งสกลนคร (จังหวัดสกลนคร บางอำเภอของจังหวัดนครพนม จังหวัดมุกดาหาร และจังหวัดบึงกาฬ) ซึ่งมีความเหมาะสมกับการเลี้ยงและขุนโคเพื่อให้มีไขมันแทรกในกล้ามเนื้อได้ดี รวมทั้งการแปรสภาพและตัดแต่งอย่างถูกสุขลักษณะตามมาตรฐานสากล และตามข้อกำหนดของสหกรณ์ฯ โพนยางคำ ส่งผลให้ได้เนื้อที่นุ่ม อร่อย ขายได้ในราคาสูง เนื้อสันในประมาณกิโลกรัมละ 1,100-1,200 บาท
นายสุวิทย์กล่าวอีกว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญา มีแผนเร่งส่งเสริมการขึ้นทะเบียนสินค้าที่มีศักยภาพเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์อย่างน้อย 1 สินค้าต่อ 1 จังหวัด ตั้งเป้าหมายให้ครบ 77 จังหวัด ภายในปี 2560 โดยในปี 2559-2560 มีแผนที่จะลงพื้นที่ใน 10 จังหวัดที่ยังไม่มีการขึ้นทะเบียน GI หรือยื่นคำขอเพื่อขึ้นทะเบียน GI ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กระบี่ กาญจนบุรี ระนอง สตูล สมุทรสาคร สระแก้ว สิงห์บุรี นครสวรรค์ และกำแพงเพชร
สำหรับสินค้าที่มีการขึ้นทะเบียน GI แล้ว มีแผนที่จะส่งเสริมให้มีการพัฒนาคุณภาพของสินค้าที่ผลิตในท้องถิ่นให้ดีขึ้น ส่งเสริมการตลาดสินค้า GI ไทย และสร้างการรับรู้คุณภาพและชื่อเสียงของสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ไทยทั้งภายในและต่างประเทศเพื่อให้สินค้า GI ไทยสามารถจำหน่ายได้ในราคาสูงขึ้น เพื่อเป็นการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนและท้องถิ่น และยังเป็นการบ่งชี้ให้เห็นความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ที่ส่งผลดีกับสินค้าของไทย