ผู้จัดการรายวัน 360 - “คิง” วางเป้า 5 ปี ผู้นำน้ำมันรำข้าวระดับโลก อัดงบรวม 140-150 ล้านบาท ต่อยอดเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่กลุ่มนอนออยล์ หวังรายได้ 8,500 ล้านบาท จากแผนปีนี้คาดมีรายได้ 6,000 ล้านบาท ทรงตัวเท่าปีก่อน ล่าสุดอัด 30 ล้านบาท ผุดแคมเปญใหม่ ควง “โอปอล์-ปาณิสรา” นั่งแท่นพรีเซ็นเตอร์
นายประวิทย์ สันติวัฒนา กรรมการบริหาร กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง เปิดเผยว่า น้ำมันรำข้าวกำลังเป็นที่ต้องการในตลาดโลกสูงมากจากเทรนด์การดูแลรักษาสุขภาพ บวกกับการเป็นน้ำมันที่ไม่ได้ผลิตจากพืช GMO “คิง” จึงมุ่งหวังที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำน้ำมันรำข้าวในตลาดโลกให้ได้ ด้วยแผนการเพิ่มกำลังผลิต รวมถึงต่อยอดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จากรำข้าว จากปัจจุบันถือเป็นผู้นำอันดับต้นๆ ของโลก ขณะที่ในเวลานี้มีคู่แข่งที่น่ากลัวอย่างอินเดียซึ่งอาจจะอยู่ในฐานะผู้นำตลาดในแง่ของปริมาณการปลูกข้าวที่สูงกว่าไทย และเวียดนามที่เป็นอีกประเทศคู่แข่ง แต่คุณภาพข้าวยังสู้ไทยไม่ได้
“คิง” ตั้งเป้าช่วง 5 ปีจากนี้ต้องมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 8,500 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้ในประเทศ 60% และต่างประเทศ 40% โดยกำลังการผลิตน้ำมันปัจจุบันอยู่ที่ 40,000 ตัน/ปี โดยใน 5 ปีนี้จะต้องเพิ่มกำลังการผลิตให้ได้ 5-7% ต่อเนื่องทุกปี รวมถึงการต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์จากรำข้าวในกลุ่มนอนออยล์ แปรรูปออกมาเพื่ออุตสาหกรรมอาหารอีก 3-4 รายการ เช่น ไขรำข้าวที่สามารถนำไปผลิตเทียนไขได้ หรือแป้งรำข้าว นำไปใช้เป็นส่วนประกอบในเบเกอรี่ได้ เป็นต้น เชื่อว่า 5 ปีข้างหน้าผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนอนออยล์จะมีสัดส่วน 10% ของรายได้รวมทั้งหมด จากปัจจุบันเพิ่งเริ่มพัฒนาจึงมีสัดส่วนเพียง 1% เท่านั้น
นายประวิทย์ กล่าวต่อว่า บริษัทฯ ใช้งบลงทุนการผลิต 100 ล้านบาท ติดตั้งอุปกรณ์เครื่องจักรการผลิตให้กับผลิตภัณฑ์กลุ่มนอนออยล์ รวมถึง R&D อีกปีละ 10 ล้านบาทในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา และยังใช้ต่อเนื่องในอนาคต บวกกับงบโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่อปี 20 ล้านบาท รวมแล้วกว่า 130-140 ล้านบาท เพื่อก้าวสู่ความเป็นผู้นำน้ำมันรำข้าวระดับโลก
ล่าสุดปี 2559 ใช้งบ 20 ล้านบาท เปิดตัวแคมเปญ “รู้จริง เลือกคิง” โดยมี “โอปอล์-ปาณิสรา อารยะกุล” เป็นพรีเซ็นเตอร์นำเสนอเรื่องราวความจริงของน้ำมันรำข้าว “คิง” ถึงผู้บริโภคในช่วง 4 เดือนนี้ จากงบการตลาดรวม 30 ล้านบาทที่ใช้ในปีนี้ เชื่อว่าจะเป็นส่วนสำคัญที่จะส่งผลให้รายได้รวมปีนี้ทำได้ 6,000 ล้านบาท เท่าปีที่ผ่านมา แบ่งเป็น 2,000 ล้านบาทเป็นน้ำมันเพื่อการบริโภค และอีก 4,000 ล้านบาทเพื่อภาคอุตสาหกรรม โดย 40% เป็นการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ยุโรป มิดเดิลอีสต์ และอาเซียน โดยสาเหตุที่รายได้ปีนี้ทรงตัว เนื่องจากปีก่อนเศรษฐกิจไม่ดี ราคาพืชผลทางเกษตรไม่ดี ทำให้กลุ่มผลิตภัณฑ์ในหมวดสแตนดาร์ดไม่โต แต่ในกลุ่มพรีเมี่ยมโต แต่เนื่องจากมีสัดส่วนที่น้อย จึงทำให้ภาพรวมของรายได้ทรงตัว
ตลาดรวมน้ำมันพืช มีมูลค่า 15,000 ล้านบาท แบ่งเป็น น้ำมันปาล์ม 65% น้ำมันถั่วเหลือง 25% น้ำมันรำข้าว 7% อื่นๆ 3% โดย “คิง” เป็นผู้นำตลาดน้ำมันรำข้าวในไทยมีส่วนแบ่งไม่ต่ำกว่า 90% จากปัจจุบันมีโรงงานการผลิต 3 แห่ง