“พาณิชย์” วางยุทธศาสตร์ทำงานรับปีที่ 97 เดินหน้าปั้นนักรบเศรษฐกิจใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ เน้นสร้าง SMEs และ Start Up รวมไปถึงเกษตรกรยุคใหม่ที่ผลิตและค้าขายเป็น พร้อมรุกดันธุรกิจบริการไทยออกไปโกยเงินต่างประเทศ เล็งใช้ประโยชน์จากการเป็นศูนย์กลางเจาะ CLMV รวมถึงอินเดีย จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นผ่านการเป็นหุ้นส่วน ยันมีแผนดูแลผู้บริโภคด้านค่าครองชีพอย่างเข้มข้นต่อไป
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยในการเป็นประธานเปิดงานวันครบรอบวันสถาปนากระทรวงพาณิชย์ครบรอบ 96 ปี ว่า กระทรวงฯ ได้ปรับยุทธศาสตร์การทำงานรับปีที่ 97 โดยจะใช้จุดแข็งที่มีอยู่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เริ่มจากการปั้นนักรบเศรษฐกิจใหม่ให้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีแผนในการพัฒนาให้เกิดผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (SMEs) และผู้เริ่มต้นทำธุรกิจ (Start Up) ให้เกิดเพิ่มมากขึ้น เพราะกระทรวงฯ มีแผนในการปั้น SMEs และ Start Up ตั้งแต่เริ่มต้น ไปจนถึงพาออกไปทำตลาดต่างประเทศ
ทั้งนี้ การปั้นนักรบเศรษฐกิจใหม่จะลงลึกไปถึงเกษตรกรที่จะพัฒนาให้เป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ที่ไม่ใช่แค่เป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตร แต่จะต้องมีความรู้ด้านการค้าขายด้วย เพื่อสร้างตลาดให้กับสินค้าที่ผลิตได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่รอพึ่งแต่พ่อค้าคนกลาง ขณะที่กระทรวงฯ จะเร่งเปิดตลาดชุมชน หมู่บ้านทำมาค้าขาย และ Farm Outlet เพื่อให้เป็นช่องทางค้าขายให้แก่เกษตรกร รวมทั้งจะเร่งส่งเสริมสินค้าเกษตรนวัตกรรมที่ใช้วัตถุดิบภาคเกษตรมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ซึ่งจะเริ่มต้นจากข้าว เพื่อช่วยสร้างตลาดให้เกษตรกรอีกทางหนึ่ง
นางอภิรดีกล่าวว่า กระทรวงฯ ยังจะมุ่งส่งเสริมให้เกิดการขยายตัวของธุรกิจบริการของไทยออกไปสู่ตลาดต่างประเทศ เพราะคนไทยมีขีดความสามารถ ทั้งธุรกิจท่องเที่ยว สุขภาพ ความงาม ก่อสร้าง ร้านอาหาร แอนิเมชัน ลอจิสติกส์ ซึ่งจะมีการทำแผนส่งเสริมอย่างจริงจัง และจะทำการปลดล็อกกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค โดยในส่วนของธุรกิจบริการนี้สามารถที่จะผลักดันให้เกิดผู้ประกอบการรุ่นใหม่ๆ ขึ้นได้อีกมาก
สำหรับการค้าสินค้า กระทรวงฯ มีแผนที่จะปรับปรุงให้เข้มแข็ง โดยใช้การตลาดนำการผลิต ใช้นวัตกรรม ใช้เทคโนโลยีในการผลิตสินค้าเพื่อหนีคู่แข่ง และผลิตให้ตรงตามความต้องการของตลาด
ทั้งนี้ กระทรวงฯ ยังมีแผนที่จะผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางในภูมิภาค โดยจะใช้ประโยชน์จากการเป็นศูนย์กลางเจาะเข้าสู่ตลาด CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว พม่า และเวียดนาม) ทั้งด้านการค้า การลงทุน และยังขยายวงออกไปยังอินเดีย จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น โดยจะใช้แนวทางการสร้างหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ เพื่อขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างกัน และจะไม่หยุดเพียงแค่นี้ จะขยายไปยังตลาดที่มีโอกาสอื่นๆ อย่างอิหร่าน และโอมาน เป็นต้นด้วย
สำหรับการดูแลผู้บริโภค จะยังเดินหน้าในการลดค่าครองชีพให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนที่จะปรับปรุงร้านหนูณิชย์พาชิมให้มีความทันสมัย และเข้าไปช่วยลดค่าครองชีพให้ประชาชนได้จริง โดยใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการสั่งซื้ออาหาร รวมถึงการบริการจัดส่งถึงบ้าน การใช้โครงการธงฟ้าเข้าไปแทรกแซงตลาดเพื่อลดค่าครองชีพในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค และการผลักดันโครงการฉลาดซื้อประหยัดใช้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คนไทยเป็นผู้บริโภคยุคใหม่ที่คิดและทบทวนก่อนที่จะซื้อสินค้า เพื่อประโยชน์ในการดำรงชีวิตของตนเอง
