จับตาการประชุม “กบง.” วันนี้เคาะลดราคาขายปลีกแอลพีจีประจำเดือน ก.ค. 59 หรือไม่ เหตุแม้แนวโน้มราคาขายปลีกจะลดลง 50-60 สตางค์ต่อ กก. แต่เป็นราคาที่ลดน้อยไม่มีผลต่อผู้บริโภคมากทำให้แนวโน้มรัฐจะดึงเงินไปลดอัตราชดเชยเพื่อเก็บเงินสะสมกองทุนน้ำมันฯ ส่วนบัญชีแอลพีจีเพื่อไว้ดูแลเสถียรภาพราคาระยะยาวมากกว่า
แหล่งข่าวจากคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เปิดเผยว่า การประชุม กบง.วันนี้ (7 ก.ค.) ที่มี รมว.พลังงานเป็นประธานจะมีวาระการพิจารณาราคาขายปลีกก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ประจำเดือนกรกฎาคม 2559เบื้องต้นราคาขายปลีกคาดว่าจะสามารถปรับลดลงได้ 50-60 สตางค์ต่อกิโลกรัม (กก.) จากปัจจุบันราคาขายปลีกอยู่ที่ 20.29 บาทต่อ กก. แต่เนื่องจากราคาดังกล่าวหากลดราคาขายปลีกไปก็ไม่มากนักจึงมีข้อเสนอให้ กบง.เป็นทางเลือกด้วยการลดอัตราชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของบัญชีแอลพีจีแทนซึ่งปัจจุบันชดเชยอยู่ 50 สตางค์ต่อ กก.
“คงจะขึ้นอยู่กับมติ กบง.ว่าจะพิจารณาอย่างไรซึ่งข้อเสนอมี 2 แนวทาง คือ ลดราคาขายปลีกตามต้นทุน และลดอัตราการชดเชยราคาขายปลีกซึ่งแนวทางที่เหมาะสมก็เห็นว่าควรลดอัตราเงินชดเชยลงมาเพื่อเก็บเงินสะสมเข้ากองทุนฯ ส่วนของบัญชีแอลพีจีที่ขณะนี้มีเงินสะสมอยู่ 7,218 ล้านบาท เมื่อชดเชยแอลพีจี 50 สตางค์ต่อ กก.ขณะนี้จึงทำให้มีเงินไหลออกเดือนละ 200 ล้านบาท” แหล่งข่าวกล่าว
ทั้งนี้ ราคาแอลพีจีตลาดโลก (CP) เดือน ก.ค.อยู่ที่ 301 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลงจากเดือนก่อนที่อยู่ระดับ 344 เหรียญต่อตัน ขณะที่ราคาจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติและโรงกลั่นน้ำมันภายในประเทศปรับลดลงเล็กน้อยทำให้ราคาแอลพีจีต้นทุนรวมคาดว่าจะทำให้ราคาขายปลีกแอลพีจีลดลงประมาณ 50-60 สตางค์ต่อ กก. อย่างไรก็ตาม การนำเข้าแอลพีจีจากนี้ไปจะไม่มีการนำเข้าทำให้ราคาแอลพีจีที่คำนวณจะยึดจากโรงแยกฯ และโรงกลั่นในประเทศเป็นหลัก โดยเฉลี่ยจะสูงกว่าราคานำเข้าเล็กน้อย ดังนั้น แม้ว่าเงินสะสมกองทุนฯ บัญชีแอลพีจีในอัตราปัจจุบันที่อาจจะสามารถชดเชยไปได้อีก 30 เดือน แต่ระยะยาวก็จะต้องพิจารณาถึงทิศทางราคาให้ดี
นายชิษณุพงศ์ รุ่งโรจน์งามเจริญ นายกสมาคมผู้ค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) กล่าวว่า หากระดับราคาขายปลีกแอลพีจีไม่ได้ลดลงมาก เห็นว่าควรจะเก็บเงินสะสมเข้ากองทุนแอลพีจีจะดีกว่า เพราะในระยะยาวราคาแอลพีจีหากปรับขึ้นก็จะได้มีเงินไว้รักษาเสถียรภาพราคา
สำหรับการใช้แอลพีจีภาคครัวเรือนล่าสุดเดือน พ.ค. 59 อยู่ที่ระดับ 5.45 ล้านกิโลกรัมต่อวันปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือน เม.ย. 0.7% แต่ลดลง 0.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนซึ่งภาพรวมยังคงเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจแต่ก็ถือว่ามีสัญญาณที่ดีขึ้น โดยพบว่าขณะนี้แอลพีจีถังขนาด 48 กก.เริ่มมีการจำหน่ายเพิ่มขึ้น โดยจะต้องพิจารณาว่าหากเพิ่มขึ้นต่อเนื่องก็จะชี้ให้เห็นถึงสัญญาณเศรษฐกิจอาจเริ่มฟื้นตัว เพราะถังขนาดดังกล่าวส่วนใหญ่ใช้ในอุตสาหกรรมครัวเรือนที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (SMEs)