xs
xsm
sm
md
lg

“สหกรุ๊ป” ลุยร่วมทุนสวนเศรษฐกิจซบ จัดงานลดราคาสินค้าประจำปีกระตุ้นกำลังซื้อ 300 ล้านบาท

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์
ผู้จัดการรายวัน 360 - “เครือสหพัฒน์” เผยยอดขายครึ่งปีแรกโตแค่ 4% ตามเป้าหมาย พอใจท่ามกลางเศรษฐกิจไม่ดี แต่มั่นใจทั้งปีนี้จะเติบโต 5% พร้อมเห็นสัญญาณบวกเริ่มดีขึ้น เดินหน้าร่วมทุนต่างประเทศต่อเนื่องทั้งธุรกิจร้านอาหารราเมง-ท่องเที่ยว-แฟชั่นเสื้อผ้า ด้าน “มาม่า” เผย 5 เดือนแรกกำไรพุ่ง 19% ร่วมทุน “โคราคุเอ็น โฮลดิ้ง” รุกธุรกิจร้านราเมง ส่วน “ธนูลักษณ์” ผนึก “เวิลด์ ญี่ปุ่น” ลุยเสื้อผ้าพรีเมียมผู้ชาย “ทาเคโอะคิคูชิ” พร้อมร่วมทุน “เมย์ฟลาวเวอร์ กรุ๊ป” มาเลเซีย เปิดตลาดท่องเที่ยวครบวงจร

นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า ยอดขายรวมครึ่งปีแรก 2559 ของเครือสหพัฒน์ มียอดขายรวมเติบโตประมาณ 4% หรือมียอดขายรวม 1 แสนกว่าล้านบาท ถือว่าพอใจแล้วกับการเติบโตเช่นนี้ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดีเท่าใด เราจึงไม่ตั้งเป้าหมายสูงเกินไป โดยกลุ่มที่มีการเติบโตดีคืออาหารและของใช้ประจำวัน ส่วนกลุ่มแฟชั่นไม่ค่อยเติบโตมากนัก แต่ทั้งปีคาดว่าจะมียอดขายรวมเติบโตประมาณ 5%

นายบุณยสิทธิ์กล่าวให้ความเห็นถึงกรณีที่อังกฤษถอนตัวออกจากอียูว่า หลายคนมองว่าอาจจะเกิดความยุ่งยากและมีผลกระทบ แต่ตนมองว่าอาจจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของเราเพราะเราจำหน่ายในประเทศไทยมากว่าการส่งออก

อย่างไรก็ตาม เครือสหพัฒน์ยังคงมีการลงทุนต่อเนื่อง แม้ว่าในภาวะที่เศรษฐกิจไม่ดีนี้ถือเป็นช่วงของการลงทุนที่ดีที่สุดเพราะคู่แข่งน้อยและการลงทุนต่ำ โดยในปี 2559 ยังมีการลงทุนร่วมกับพันธมิตรต่างชาติหลายโครงการภายในงาน “สหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 20” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 มิ.ย. - 3 ก.ค. 59 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ได้แก่ การร่วมทุนกับกลุ่ม “เมย์ฟลาวเวอร์ กรุ๊ป” ประเทศมาเลเซีย ในการดำเนินธุรกิจท่องเที่ยว การร่วมทุนกับกลุ่ม “โคราคุเอ็น โฮลดิ้ง” ประเทศญี่ปุ่น เพื่อดำเนินธุรกิจร้านอาหารราเมง การร่วมทุนกับกลุ่ม “เวิลด์” ประเทศญี่ปุ่น ดำเนินธุรกิจเสื้อผ้าพรีเมียม เป็นต้น
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา (ขวา) ประธานเครือสหพัฒน์ เซ็นสัญญาร่วมทุนกับ นายเคนจิ คามิยามา (ซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ประธาน บริษัท เวิลด์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น
ผนึก “เวิลด์ ญี่ปุ่น” ลุยเสื้อผ้าพรีเมียมผู้ชาย

นายบุณยสิทธิ์กล่าวอีกว่า ในส่วนของ บริษัท ธนูลักษณ์ จำกัด (มหาชน) ในเครือสหพัฒน์เป็นแกนนำในการร่วมทุนกับ บริษัท เวิลด์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น เพื่อจัดตั้ง บริษัท เวิลด์ สหแฟชั่น จำกัด ทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท ฝ่ายสหพัฒน์ถือหุ้น 51% ญี่ปุ่น 49% ในการทำตลาดเสื้อผ้าผู้ชายแบรนด์ “ทาเคโอ คิคูชิ” ถือเป็นเสื้อผ้าจากญี่ปุ่นในตลาดพรีเมียมแบรนด์แรกของเครือฯ เจาะตลาดผู้ชาย จากเดิมที่มีแต่แบรนด์จากประเทศอื่น เช่น “แอร์โรว์” ของสหรัฐอเมริกา, “ลาคอสต์” ของฝรั่งเศส และ “แดกซ์” ของอังกฤษ เท่านั้น

เสื้อผ้าแบรนด์ “ทาเคโอ คิคูชิ” เจาะกลุ่มเป้าหมายผู้ชายอายุ 20-40 ปี มีระดับราคากลางค่อนข้างสูง ตั้งแต่ 2-4 พันบาท ส่วนเสื้อสูทชุดละประมาณ 1 หมื่นกว่าบาทขึ้นไป โดยเบื้องต้นมีแผนที่จะเปิดจุดขายตามเคาน์เตอร์ในห้างและสแตนด์อโลนประมาณ 6-8 สาขาต่อปี

ด้านนายเคนจิ คามิยามา ประธาน บริษัท เวิลด์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า ในเครือเวิลด์มีเสื้อผ้ารวม 70 แบรนด์ แบ่งเป็นแบรนด์สำหรับผู้หญิงมากถึง 80% และแบรนด์สำหรับผู้ชาย 20% แต่สาเหตุที่นำแบรนด์ “ทาเคโอะคิคูชิ” เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยก่อนเป็นลำดับแรกเพราะถือเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในญี่ปุ่น มียอดขายรวมแบรนด์เดียวมากกว่า 1.3 หมื่นล้านเยนเมื่อปีที่แล้ว ขณะที่ตลาดประเทศไทยก็มีความเหมาะสมเพราะคนไทยนิยมแฟชั่นมากขึ้น และสหพัฒน์ก็ยังไม่มีแบรนด์เสื้อผ้าพรีเมียมของผู้ชายจากญี่ปุ่นทำตลาด

สำหรับคู่แข่งของแบรนด์ “ทาเคโอะ คิคูชิ” หากเป็นแบรนด์จากประเทศญี่ปุ่นคือแบรนด์ “ดาบัง” ถ้าเป็นแบรนด์จากสหรัฐอเมริกา คือ “พอลล์สมิธ” และ “เบอร์เบอรี่” โดยมีแผนว่าหากแบรนด์ “ทาเคโอะ คิคูชิ” ประสบความสำเร็จในตลาดประเทศไทยก็มีแผนที่จะนำแบรนด์อื่นๆ ในเครือเข้ามาทำตลาดอีกเช่นกัน โดยยังคงมีเครือสหพัฒน์เป็นพันธมิตรหลัก พร้อมทั้งใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการขยายตลาดอาเซียนต่อไปด้วย
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา (กลาง) ประธานเครือสหพัฒน์ และประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน)  พร้อมด้วย นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ (ที่ 3 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซ็นสัญญาร่วมทุนกับ บริษัท โคราคุเอ็น โฮลดิ้ง คอร์เปอเรชั่น จำกัด ประเทศญี่ปุ่น
“มาม่า” กำไร 19% ช่วง 5 เดือนแรก ครึ่งปีหลังตลาด “ราเมง”

นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “มาม่า” เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจประเทศไทยในปี 2559 คาดว่าจะดีขึ้นตามลำดับ อันเนื่องมาจากการอัดฉีดงบประมาณของภาครัฐบาลในโครงการต่างๆ รวมถึงการที่เริ่มมีฝนตกถูกต้องตามฤดูกาลทำให้มั่นใจว่าจะทำให้เกษตรกรมีผลผลิตได้ตามเป้าหมาย ขณะที่บริษัทฯ มีผลประกอบการในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาของปี 2559 เติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 5% พร้อมด้วยผลกำไร 19% โดยคาดว่าจนถึงสิ้นปีจะมีรายได้เติบโตตามเป้าหมายคือ 5% จากที่ทำได้ในปี 2558 ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท

บริษัทฯ มีแผนขยายธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะร้านอาหารญี่ปุ่น ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เซ็นสัญญาร่วมทุนอย่างเป็นทางการกับ บริษัท โคราคุเอ็น โฮลดิ้ง คอร์เปอเรชั่น จำกัด ประเทศญี่ปุ่น เจ้าของร้านอาหารญี่ปุ่น “โคราคุเอ็น ราเมน” ที่มียอดขายอันดับหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น โดยใช้เงินทุนจดทะเบียน 25 ล้านบาท จัดตั้ง บริษัท เพรซิเดนท์ โคราคุเอ็น จำกัด โดย บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ฯ ถือหุ้น 70% บริษัท โคราคุเอ็นฯ 14% และบุคคลไทยทั่วไป 16%

“การร่วมทุนครั้งนี้เป็นเสมือนการซื้อกิจการมาบริหารเอง โดยบริษัทฯ จะเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ในเรื่องของนวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตเส้นราเมง น้ำซุป รวมถึงหมูชาชูสูตรเฉพาะของโคราคุเอ็น พร้อมกับย้ายโรงงานผลิตเส้นราเมงจาก อ.มหาชัย จ.สมุทรสาคร ไปยัง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ขณะเดียวกันยังมีแผนปรับกลยุทธ์การบริหารงานด้วย 3 หลักการสำคัญคือประหยัดค่าใช้จ่าย ควบคุมคุณภาพ และดูแลการผลิต”

เบื้องต้น บริษัทฯ มีแผนปรับลดสาขาร้าน “โคราคุเอ็น ราเมน” จากเดิม 6 สาขา ให้เหลือเพียง 2 สาขาคือ “เกตเวย์ เอกมัย” และเจ-ปาร์ค อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี พร้อมตั้งเป้ายอดขายในปีแรกเมื่อสิ่นสุดเดือนมิถุนายน 2560 ประมาณ 40 ล้านบาท โดยมีแผน 5 ปีในการขยายสาขาครบ 30 แห่ง ใช้เงินทุนสาขาละ 5 ล้านบาท ขนาด 48 ที่นั่งขึ้นไป บนพื้นที่ประมาณ 150 ตารางเมตร พร้อมรายได้เฉลี่ยสาขาละ 1.5 ล้านบาท คิดเป็นรายได้รวม 540 ล้านบาท
นางธีรดา อำพันวงษ์ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอซีซี จำกัด (มหาชน)
จับมือ “เมย์ฟลาวเวอร์ กรุ๊ป” มาเลเซีย เปิดตลาดท่องเที่ยว

นางธีรดา อำพันวงษ์ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอซีซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เครือสหพัฒน์ เห็นโอกาสการสร้างรายได้ระยะยาวจากธุรกิจท่องเที่ยว จึงร่วมทุนกับ “เมย์ฟลาวเวอร์ กรุ๊ป” ในเครือ “ตันจง กรุ๊ป” ประเทศมาเลเซีย บริษัททัวร์อันดับ 1 ในประเทศมาเลเซียที่ดำเนินธุรกิจมานานถึง 56 ปี จัดตั้ง บริษัท เมย์ฟลาวเวอร์ สหไทยแลนด์ จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนการถือหุ้นเป็น บุคคลสัญชาติไทยในเครือสหพัฒน์ 51% และเมย์ฟลาวเวอร์ กรุ๊ป 49% โดยมีเป้าหมายสร้างรายได้ในปีแรก (มิถุนายน 2560) รวม 66 ล้านบาท
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา (กลาง) ประธานเครือสหพัฒน์ พร้อมด้วย นางธีรดา อำพันวงษ์ (ที่ 2 จากขวา) กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอซีซี จำกัด (มหาชน) เซ็นสัญญาร่วมทุนกับ ดาติน โจเซฟลิน โลว (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานบริหาร เมย์ฟลาวเวอร์ กรุ๊ป ประเทศมาเลเซีย โดยมีนางศรีสุดา วนภิญโญศักดิ์ รองผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมเป็นสักขีพยาน
วัตถุประสงค์การร่วมทุนครั้งนี้เพื่อให้บริการด้านการท่องเที่ยวที่หลากหลายและครบวงจร ทั้งการบริการจองและจำหน่ายตั๋วเครื่องบินทุกสายการบินและทุกเส้นทางการบินทั่วโลก การบริการจองโรงแรมและที่พักระดับพรีเมี่ยมทั่วโลก การบริการจัดนำนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาท่องเที่ยวในประเทศไทย (Inbound Tour) การบริการจัดนำนักท่องเที่ยวไปเที่ยวต่างประเทศ (Outbound Tour) ตลอดจนการบริการจัดประชุมให้หน่วยงาน หรือองค์กรทั้งในและต่างประเทศ (Meetings) การจัดการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัลตอบแทนให้พนักงาน (Incentives) การบริการจัดประชุมนานาชาติ (Conventions) และการบริการด้านการจัดงานแสดงสินค้า (Exhibitions)
นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการบริษัท บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน)
“สหพัฒนพิบูล” มั่นใจโต 10% ดีสุดในรอบ 3 ปี

นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการบริษัท บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจประเทศไทยในปี 2559 คาดว่าจะเริ่มมีทิศทางดีขึ้น เพราะมีสัญญาณบวกหลายปัจจัยที่เริ่มฉายภาพตั้งแต่ต้นปี 2559 โดยเฉพาะการระบายสินค้าของบริษัทฯ ที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ประชาชนเริ่มมีความสบายใจในสถานการณ์การเมือง ทั้งยังเริ่มมีการจับจ่ายและกำลังซื้อมากขึ้นหลังจากที่อยู่ในภาวะนิ่งมานาน

สำหรับการลงทุนของรัฐบาลในโครงการเมกะโปรเจคต่างๆ ของรัฐบาลนั้น แม้บางโครงการอาจล่าช้าไปบ้างและอาจเข้าไม่ถึงประชาชนโดยตรง แต่ถือว่ามีผลในแง่การสร้างกำลังใจให้ประชาชนมีความอุ่นใจในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ขณะที่นโยบายเศรษฐกิจยุค 4.0 ซึ่งเน้นในเรื่องเทคโนโลยีถือว่ามีส่วนเอื้อประโยชน์อย่างยิ่งต่อธุรกิจบางประเภท เช่น พลังงานหมุนเวียน ไอที และคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ขณะที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้มาตลอดเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตให้ได้ประสิทธิภาพมากขึ้น

“จากปัจจัยต่างๆ ทำให้บริษัทฯ มั่นใจว่าในปี 2559 จะสามารถทำยอดขายรวมเติบโตได้ดีที่สุดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ด้วยรายได้รวมมากกว่า 3.6 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 10% จากที่ทำได้ในปี 2558 ประมาณ 3.2 หมื่นล้านบาท เติบโต 7% พร้อมทั้งคาดว่าจะเติบโตขึ้น 15% ในปี 2560”

นายบุญชัยกล่าวด้วยว่า ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้บริษัทฯ สามารถทำผลประกอบการได้ตามเป้าหมายคือ การตั้งเป้าหมายและการติดตามผลในกรอบเวลา พร้อมด้วยทีมเวิร์คที่มีประสิทธิภาพ หรือกลยุทธ์ 3 T+1 (Target, Timing, Tracking และ Teamwork) ภายใต้โครงการ Mission Objective Policy (MOP) ซึ่งเคยนำมาใช้จนประสบความสำเร็จมาแล้วเมื่อ 14 ปีก่อน หรือปี 2545 ซึ่งเคยประสบวิกฤติยอดขายตกจาก 1 หมื่นล้านบาทเหลือ 9 พันล้านบาทให้สามารถกลับมาเติบโตได้ถึง 20%
นายบุญเกียรติ โชควัฒนา ประธานกรรมการบริษัทและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)
หวัง “สหกรุ๊ปแฟร์” กระตุ้นกำลังซื้อ 300 ล้านบาทใน 5 วัน

ด้านนายบุญเกียรติ โชควัฒนา ประธานกรรมการบริษัทและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานจัดงาน “สหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 20” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน - 3 กรกฎาคม 2559 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ว่า การจัดงานปีนี้อยู่ภายใต้แนวคิด “An Honest Digital World” สื่อถึงการยึดมั่นในคุณภาพที่มีต่อโลกและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนความซื่อสัตย์และคุณธรรมที่มีต่อลูกค้าและสังคม โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ชื่นชอบเทคโนโลยีและนิยมซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ต

เครือสหพัฒน์ประเมินว่า เศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคในช่วงครึ่งปีหลังจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นซึ่งจะส่งผลดีต่อการจัดงานสหกรุ๊ปแฟร์ โดยคาดว่าจะมีประชาชนให้ความสนใจมาซื้อสินค้ากว่า 1.1 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่มีผู้ร่วมงาน 1 ล้านคน และคาดว่าจะมีมูลค่าการซื้อขายกว่า 300 ล้านบาท ขณะที่มีผู้ประกอบจากในประเทศและต่างประเทศแจ้งความจำนงเข้าร่วมงานรวม 428 ราย เพิ่มมากขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่มีเพียง 100 ราย แบ่งเป็นผู้ประกอบการจากต่างประเทศ 228 ราย ผู้ประกอบการค้าชายแดน 36 ราย และผู้ประกอบการในประเทศ 164 ราย โดยประเทศที่แจ้งความจำนงมาร่วมงานสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน พม่า อินโดนีเซีย ฮ่องกง และมาเลเซีย

“ในปีนี้ผู้บริโภคนอกจากจะเลือกซื้อสินค้าภายในงานได้ตามปกติแล้วยังสามารถเลือกซื้อสินค้าผ่านร้านค้าเสมือนจริงและห้องลองเสื้อผ้าเสมือนจริงได้อีกด้วยซึ่งนับว่าเป็นมิติใหม่ของงานสหกรุ๊ปแฟร์ ทั้งยังเป็นครั้งแรกของงานแสดงสินค้าในประเทศไทยที่มีช่องทางการขายสินค้าผ่านร้านค้าเสมือนจริงและห้องลองเสื้อผ้าเสมือนจริง นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังสามารถใช้สมาร์ตโฟนสแกน QR Code สินค้าที่สนใจเพื่อเชื่อมโยงเข้าสู่เว็บไซต์ ethailandbest.com และสั่งซื้อสินค้า พร้อมชำระเงินผ่านระบบธนาคาร ePayment ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว โดยมีบริการส่งสินค้าถึงบ้านฟรีเช่นเดียวกับการซื้อสินค้าตามปกติ” นายบุญเกียรติกล่าวในที่สุด
บรรยากาศการจัดงาน “สหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 20” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน - 3 กรกฎาคม 2559 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์





กำลังโหลดความคิดเห็น