xs
xsm
sm
md
lg

“สมคิด” จี้ คค.สรุปไฮสปีด กทม.-ระยอง ชี้นักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนอีสเทิร์นซีบอร์ดเพิ่ม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“สมคิด” ตามงานคมนาคม เร่งสรุปลงทุนไฮสปีด กรุงเทพฯ-ระยอง ชี้ญี่ปุ่น จีน และเกาหลีสนใจ เชื่อมการขนส่งอีสเทิร์นซีบอร์ดสมบูรณ์ ส่วนปลาย มิ.ย.นี้เปิดประมูลรถไฟฟ้า 3 สาย สีเหลือง-ชมพู-ส้มได้ เชื่อหนุนมั่นใจให้นักลงทุนต่างชาติ เผยคมนาคมมีงบลงทุนมากถึง 2.4 ล้านล้านบาท จึงเป็นกระทรวงหลักขับเคลื่อนการลงทุนภาครัฐ กระตุ้นไปถึงปี 65 สั่งโรดโชว์นักลงทุน ตปท. ให้ข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานของไทย

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ เปิดเผยภายหลังประชุมเพื่อติดตามเร่งรัดการดำเนินโครงการสำคัญต่างๆ ของกระทรวงคมนาคมเมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ว่า ต้องการให้เร่งรัดการดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-ระยอง และกรุงเทพฯ-หัวหิน โดยเฉพาะเส้นทางกรุงเทพฯ-ระยอง เนื่องจากเส้นทางนี้จะช่วยทำให้ระบบการขนส่งในอีสเทิร์นซีบอร์ดสมบูรณ์มากขึ้น เพราะจะมีทั้งระบบขนส่งและระบบลอจิสติกส์ที่ดี รวมทั้งคลังสินค้าที่ดี ซึ่งนักลงทุนญี่ปุ่น จีน และเกาหลีต่างให้ความสนใจการลงทุนใน จ.ระยองอยู่แล้ว และจะทำให้ไทยกลายเป็นเกตเวย์ของกลุ่มประเทศ CLMV หรืออาเซียนตอนบนได้ ซึ่งทั้งสองโครงการจะเข้าโครงการ Fast Track ของคณะกรรมการนโยบายให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (คณะกรรมการ PPP)

โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ทำโครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพ-ระยอง ให้เร็วตามที่ทางคมนาคมและรัฐบาลได้เน้นเรื่อง Eastern Economic Corridor ซึ่งนักลงทุนต่างประเทศให้ความสนใจมาก โดยเฉพาะรายละเอียดโครงการตั้งแต่กรุงเทพฯ ไปจนถึงแหลมฉบังลงมามาบตาพุด ระยอง มีโครงการอะไรบ้าง เพราะเป็นแหล่งลงทุนสำคัญมาก รวมทั้งแผนงานลอจิสติกส์ทั้งระบบซึ่งจะมีการประชุมระบบขนส่งของประเทศในช่วงต้นเดือน ก.ค.นี้ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน

ส่วนรถไฟฟ้านั้น คาดว่าจะสามารถเปิดประมูลได้ 3 สาย ช่วงปลายเดือน มิ.ย.นี้ คือ สายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) มูลค่า 5.4 หมื่นล้านบาท สายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) มูลค่า 5.6 หมื่นล้านบาท และสายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี) ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติเกิดความมั่นใจ และเป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสำคัญให้แก่ประเทศ แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจโลกจะไม่ดี แต่ไทยมีโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จะช่วยกระตุ้นให้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศค่อยๆ ดีขึ้น

ทั้งนี้ ภายใน 2 เดือนข้างหน้าจะสามารถออกกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) มูลค่า 1 แสนล้านบาท และกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย มูลค่า 1 หมื่นล้านบาทที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติแล้ว โดยกระทรวงการคลังจะนำเสนอรายละเอียดออกมาเร็วๆ นี้ พร้อมกันนี้ได้มอบนโยบายให้กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ เร่งรัดการดำเนินโครงการสำคัญ ที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแล้วให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด และให้ดำเนินการจัดทำแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศ ทั้งด้านการขนส่งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ และระบบราง และกำหนดรูปแบบการลงทุนให้มีความชัดเจน เพื่อสร้างบรรยากาศในการลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ได้แก่ การพัฒนาตามแนวระเบียงเศรษฐกิจแนวตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor : EWEC) การเร่งรัดแผนการพัฒนาท่าเรือทั้งระบบ เช่น การพัฒนาท่าเรือจุกเสม็ด การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 2 และ 3 การพัฒนาศักยภาพท่าเรือกรุงเทพ โดยให้คำนึงถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนไปพร้อมกันด้วย

ขณะที่การพัฒนาท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งที่อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. และท่าอากาศยานภูมิภาคที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมท่าอากาศยาน (ทย.) ให้มีศักยภาพในการรองรับการการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมการบินของประเทศ

ส่วนคมนาคมทางบก ให้กรมการขนส่งทางบกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาการออกกฎ ระเบียบต่างๆ ให้ทันต่อการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพการบริการขนส่งสาธารณะ ให้มีความสะดวก ปลอดภัย สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้บริการ และรักษาสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเร่งรัดการจัดหารถโดยสารไฟฟ้ามาให้บริการขนส่งสาธารณะตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีด้วย

นายสมคิดกล่าวต่อว่า รัฐบาลจะใช้กระทรวงคมนาคมเป็นกระทรวงหลักในการขับเคลื่อนการลงทุนภาครัฐ เพราะมีงบประมาณสูงมากถึง 2.5 ล้านล้านบาท และยังมีกระทรวงพลังงานที่ใช้งบลงทุนสูง 2.4-2.5 ล้านล้านบาท ที่จะใช้ลงทุนไปถึงปี 2565 โดยได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมไปโรดโชว์หรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศให้นักลงทุนต่งประเทศ และนักลงทุนในประเทศได้รับทราบข้อมูล
กำลังโหลดความคิดเห็น