xs
xsm
sm
md
lg

“เนสกาแฟ” โละกลุ่ม 3in1 ในไทย ทุ่ม 1.4 พันล้านอัปเกรดกาแฟลุยตลาด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นางออดรีย์ เลียว (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า และนายแวลดดิสลาฟ อังดรีฟ (ซ้ายสุด) ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจผลิตภัณฑ์กาแฟและครีมเทียม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด
ผู้จัดการรายวัน 360 - “เนสกาแฟ” โละ 3in1 ในไทย ทุ่มสุดตัวปั้น “เบลนด์ แอนด์ บรู” ผสมกาแฟคั่วบดละเอียด เปิดตัวที่ไทยแห่งแรกของเนสกาแฟทั่วโลกเพราะเป็นตลาดหลักท็อปส์ไฟว์ ทุ่มงบรวมสูงที่สุด 1.4 พันล้านบาท ปรับฐานการผลิตในไทยทั้ง 2 โรงงาน และงบฯ ทำตลาดถึงสิ้นปีนี้

นางออดรีย์ เลียว ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า เปิดเผยว่า ประเทศไทยถือเป็นตลาดกลยุทธ์ที่สำคัญ 1 ใน 5 ของเนสกาแฟทั่วโลก จึงได้เลือกประเทศไทยเป็นตลาดแรกในการเปิดตัว “เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู” ผสมกาแฟคั่วบดละเอียด ซึ่งเป็นการปรับโฉมใหม่ครั้งใหญ่จากเดิมที่เป็นกาแฟเนสท์เล่ 3in1 ซึ่งได้ยกเลิกทำตลาดไปแล้วหลังจากที่ทำตลาดในไทยมานานกว่า 15 ปี และเป็นผู้นำตลาดด้วยแชร์มากกว่า 60%

“เนสกาแฟ” ถือเป็นสินค้าหลักที่ทำรายได้หลักให้ “เนสท์เล่” ทั่วโลก โดยตลาดหลักในเอเชียนอกจากไทยแล้วคือญี่ปุ่น ส่วนในยุโรปคืออังกฤษ โดยหลังจากนี้จะเปิดตัว “เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู” ที่ประเทศฟิลิปปินส์ และจะค่อยๆ ทยอยเปิดตัวในประเทศอื่นๆ ต่อไป

ด้าน นายแวลดดิสลาฟ อังดรีฟ ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจผลิตภัณฑ์กาแฟและครีมเทียม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดกาแฟผงสำเร็จรูปโดยรวมในไทยมีประมาณ 2 หมื่นล้านบาท แยกเป็นเซกเมนต์ 3in1 ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท เติบโต 10% และกาแฟผงอินสแตนท์ มูลค่า 5 พันล้านบาท เติบโตน้อย ขณะที่ตลาดรวมปีที่แล้วเติบโตแค่ 0.5% เนื่องจากปัญหาทางด้านเศรษฐกิจเป็นหลักและไม่มีสินค้านวัตกรรมใหม่เข้ามากระตุ้นตลาดรวม

อย่างไรก็ตาม ตลาดรวมกาแฟในไทยยังมีโอกาสและแนวโน้มเติบโตได้อีก เพราะปริมาณการดื่มกาแฟของคนไทยยังต่ำประมาณ 200 ถ้วยต่อคนต่อปี เมื่อเทียบกับญี่ปุ่นที่มีประมาณ 400 ถ้วยต่อคนต่อปี และปัจจุบันคนไทยดื่มกาแฟมากขึ้น สังเกตจากการเติบโตของเชนร้านกาแฟ เป็นต้น

ล่าสุดได้ใช้งบประมาณรวมกว่า 1.4 พันล้านบาทสำหรับลงทุนตัวใหม่นี้และถือเป็นการลงทุนสูงที่สุดก็ว่าได้ โดยแยกเป็น 800 ล้านบาทสำหรับทางด้านการผลิตซึ่งจะใช้ไทยเป็นฐานในการผลิตตัวนี้ด้วยเพื่อส่งออกต่างประเทศในตลาดอาเซียนคือที่บางปูของบริษัทฯ เอง กับที่ฉะเชิงเทราซึ่งเป็นโรงงานร่วมทุนระหว่างกลุ่ม “เนสท์เล่” กับ นายประยุทธ์ มหากิจศิริ

ส่วนงบอีก 600 ล้านบาทจะใช้ในการทำตลาดในช่วงครึ่งปีหลังหรือ 6 เดือนจากนี้ โดยทำทุกรูปแบบทั้งบีโลว์เดอะไลน์, อะโบฟเดอะไลน์ และสื่อดิจิตอลมาร์เกตติ้ง เช่น การแจกชงชิม 4 ล้านถ้วย มากกว่าปีที่แล้วที่แจกชงชิม 3in1 แค่ 1 ล้านถ้วย นอกจากนี้ยังมีการออกภาพยนตร์โฆษณา ตลอดจนการใช้แบรนด์แอมบาสซาเดอร์ 2 คนคือ “เจมส์-มาร์” กับ “มิน-พีชญา วัฒนามนตรี” เป็นตัวแทนของสินค้าซึ่งตรงกับคอนเซ็ปต์ของสินค้าคือ “เนสกาแฟ ในแบบที่คุณไม่เคยสัมผัส” (Not as you Know it) เพราะทั้ง 2 เป็นที่รู้จักในฐานะดาราดัง แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าทั้งคู่มีความสามารถทางด้านดนตรีด้วย เช่นเดียวกับ “เนสท์กาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู” ที่เป็นการยกระดับคุณภาพและรสชาติกาแฟปรุงสำเร็จอีกขั้น

การเปิดตัวครั้งนี้มุ่งหวังที่จะกระตุ้นตลาดรวมให้เติบโตและต้องการที่จะให้ “เนสกาแฟ” เข้าถึงครัวเรือนของคนไทยให้มากขึ้นจากเดิม 50% และเพื่อรักษาความเป็นผู้นำตลาดต่อไป โดยสินค้าใหม่นี้มี 2 รสชาติ คือ “ริช อโรม่า” และ “เอสเปรสโซ่ โรสต์” จำหน่ายใน 5 ขนาด คือ ขนาดแพก 4 ซอง ราคา 20 บาท, ขนาด 9 ซอง ราคา 39 บาท, ขนาด 27 ซอง ราคา 102 บาท, ขนาด 40 ซอง ราคา 145 บาท และขนาด 6 ซอง ราคา 185 บาท



กำลังโหลดความคิดเห็น