ไทย-ปากีสถานถก FTA รอบ 3 ตั้งเป้าเจรจาจบภายในปีนี้ เริ่มบังคับใช้ต้นปีหน้า ยันเกิดประโยชน์แก่ไทยเพียบ ทั้งเพิ่มส่งออก นำเข้าวัตถุดิบ และขยายการลงทุน
น.ส.สุนันทา กังวาลกุลกิจ รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 9-11 พ.ค. 2559 ที่ผ่านมาได้เป็นหัวหน้าผู้แทนไทยเข้าร่วมประชุมการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-ปากีสถาน ครั้งที่ 3 ที่กรุงเทพฯ โดยการหารือมีความคืบหน้า โดยเฉพาะการเปิดตลาดสินค้าระหว่างกัน รวมถึงกระบวนการทางศุลกากรและการอำนวยความสะดวกทางการค้า ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะมีการหารือกันอีกครั้งในเดือน ส.ค. 2559 ที่เมืองละฮอร์ เพื่อเร่งรัดการเจรจาให้จบภายในปีนี้เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต้นปีหน้า
ทั้งนี้ การทำ FTA ไทย-ปากีสถานจะเกิดประโยชน์แก่สองประเทศทั้งด้านการค้าและการลงทุน โดยไทยสามารถเพิ่มการส่งออกไปยังปากีสถานและกระจายเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียใต้ เอเชียกลาง และตะวันออกกลางได้ และยังได้ประโยชน์จากการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบ เพราะปากีสถานยังมีทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ ส่วนปากีสถานสามารถใช้ไทยเป็นศูนย์กลางในการกระจายสินค้า และแหล่งลงทุนแห่งใหม่ในการขยายตลาดเข้าสู่ตลาดอาเซียน
ขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มโอกาสในการออกไปลงทุนของนักลงทุนไทย ซึ่งปัจจุบันมีการออกไปลงทุนแล้ว เช่น บริษัท สยามซีเมนต์ บริษัท ไทยยูรีเทน เคมีคัลอินดัสเตรียล บริษัท เจริญโภคภัณฑ์ (ซี.พี. ปากีสถาน) เป็นต้น
สำหรับสินค้าไทยที่มีโอกาสในการส่งออกได้เพิ่มขึ้น ได้แก่ สิ่งทอ (เครื่องนุ่งห่ม ผ้าลินิน ผ้าฝ้าย เสื้อผ้าสำเร็จรูป) เครื่องหนัง ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกีฬา เคมีภัณฑ์ พรม เป็นต้น และสินค้านำเข้าที่จะเป็นประโยชน์ต่อไทย เช่น น้ำมันปิโตรเลียม ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เครื่องจักร พลาสติก อุปกรณ์เพื่อการขนส่ง น้ำมันพืช กระดาษ เหล็กและเหล็กกล้า เป็นต้น
ปัจจุบันปากีสถานได้ทำ FTA กับประเทศต่างๆ แล้ว ได้แก่ จีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย ศรีลังกา และมอริเชียส และอยู่ระหว่างการเจรจา FTA กับไทย ตุรกี และเกาหลีใต้
ในด้านการค้า ปี 2558 ปากีสถานเป็นคู่ค้าอันดับที่ 42 ของไทยในตลาดโลก และเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชียใต้ รองจากอินเดีย การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 1,032.86 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 1.76% การส่งออกมีมูลค่า 913.3 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 4.38% การนำเข้ามีมูลค่า 119.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 14.62%