บ้านปูลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศจีนจำนวน 4 โครงการในมณฑลซานตง คิดเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมทั้งหมด 78.5 เมกะวัตต์ คาดจ่ายไฟได้กลางปี59
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า บริษัท
บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (BPP) บริษัทในเครือของบ้านปูฯได้ทำสัญญาเพื่อครอบครองสิทธิในการซื้อหุ้นในอนาคตในสัดส่วนร้อยละ100 ในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศจีนจำนวน 4 โครงการในมณฑลซานตง ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมทั้งหมด 78.5 เมกะวัตต์ การซื้อหุ้นภายใต้สัญญานี้จะกระทำบนเงื่อนไขที่โครงการโรงไฟฟ้าทั้งหมดได้ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์และเริ่มจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าสู่เครือข่ายสายส่งเรียบร้อยแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงกลางปี 2559
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่าการขยายการลงทุนโซลาร์ฟาร์มในจีนครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญตามแผนยุทธศาสตร์ของ BPPในการเสาะหาโอกาสการลงทุนในตลาดที่มีปัจจัยเกื้อหนุนการเติบโตและได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเป็นอย่างดี โดยต่อยอดจากทักษะความชำนาญจากการทำธุรกิจโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่นและประสบการณ์กว่าทศวรรษในธุรกิจไฟฟ้าในจีน ซึ่งโครงการโซลาร์ฟาร์มในมณฑลซานตงที่เพิ่มเข้ามาปีนี้และโครงการโรงไฟฟ้าซานซีลู่กวง กำลังการผลิต 1,320 เมกะวัตต์ที่จะก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 2560 เป็นการลงทุนที่สอดคล้องกับแผนของบ้านปูฯที่จะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการลงทุนให้เป็น 4,300 เมกะวัตต์เทียบเท่า
โดยแบ่งเป็นพลังงานหมุนเวียนร้อยละ 20 ภายในปี 2568 อีกด้วย
ซานตงเป็นมณฑลที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) สูงเป็นอันดับ 3 ของจีนและมีจำนวนประชากรมากกว่า 90 ล้านคนอีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมโจวผิงซึ่ง BPPได้ลงทุนดำเนินการในสัดส่วนร้อยละ70 มาตั้งแต่ปี 2549 ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโซลาร์ฟาร์มทั้ง 4โครงการจะถูกจำหน่ายเข้าไปยังเครือข่ายสายส่งไฟฟ้าของมณฑลและอยู่บนโครงสร้างรายได้ค่าไฟฟ้าและเงินอุดหนุนที่กำหนดไว้
ทั้งนี้ โครงการทั้งหมดจะใช้เงินลงทุนโครงการจำนวนประมาณ 604 ล้านหยวน
(เทียบเท่าประมาณ93 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ซึ่งจะมาจากสองส่วน คือ หนี้สินและทุน
สำหรับไตรมาส 1/2559 บ้านปูฯ มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี
ค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) ในธุรกิจไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 42
ล้านเหรียญสหรัฐฯซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เทียบกับไตรมาสที่แล้ว ด้านโรงไฟฟ้า BLCP
รายงานผลการดำเนินงานที่ดีด้วยการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพและอัตราการจ่ายไฟฟ้าที่สูง โดยมีส่วนแบ่งกำไรจำนวน 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯส่วนโรงไฟฟ้าหงสายังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการผลิต ซึ่งยูนิตสุดท้ายได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เมื่อวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมาโดยรายงานส่วนแบ่งกำไรจำนวน 1.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
บ้านปูฯยังคงสามารถดำเนินการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตได้อย่างต่อเนื่องในไตรมาส1/2559 EBITDA จากธุรกิจถ่านหินในไตรมาสนี้คิดเป็น 78 ล้านเหรียญสหรัฐฯซึ่งลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าเพียงเล็กน้อยบริษัทฯตั้งเป้าลดต้นทุนเฉลี่ยสำหรับธุรกิจถ่านหินในอินโดนีเซียให้อยู่ที่ 43เหรียญสหรัฐฯต่อตันในปี 2559 จาก 49 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตันในปี 2558และในออสเตรเลียให้อยู่ที่ 48 เหรียญออสเตรเลีย จาก 49 เหรียญออสเตรเลียต่อตันในปี2558
ธุรกิจถ่านหินออสเตรเลียปรับตัวดีขึ้นด้วยปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากเหมืองMandalongซึ่งกลับมาดำเนินการผลิตตามปกติหลังจากเสร็จสิ้นการย้ายเครื่องจักรในไตรมาสก่อนหน้าและเนื่องจาก Mandalong สามารถใช้เครื่องจักรดำเนินการผลิตได้อย่างเต็มที่จึงส่งผลให้ปริมาณขายถ่านหินสำหรับไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 22จากไตรมาสก่อนหน้าเป็น 3.4 ล้านตัน ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นปรับสูงขึ้นเป็นร้อยละ 23 จากร้อยละ 17 ในไตรมาสก่อนหน้า
“ธุรกิจไฟฟ้าที่เดินหน้าอย่างแข็งแกร่งและการบริหารจัดการต้นทุนอย่างรอบคอบในธุรกิจถ่านหิน ทำให้EBITDAสำหรับไตรมาสนี้รักษาระดับอยู่ที่ 120 ล้านเหรียญสหรัฐฯเทียบเท่ากับไตรมาสก่อนหน้าโดยจากนี้เราคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากการลงทุนล่าสุดด้าน Shale Gasในสหรัฐอเมริกาและมีกระแสเงินสดที่เติบโตขึ้นจากธุรกิจไฟฟ้าผู้ถือหุ้นมีโอกาสในการลงทุนเพื่อการเติบโตในระยะยาวของบ้านปูฯโดยสามารถใช้สิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่ราคา 5.00 บาทต่อหุ้นระหว่างวันที่ 23-31พฤษภาคม 2559 นี้การเสนอหุ้นเพิ่มทุนพร้อมวอแรนต์ครั้งนี้จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินให้บริษัทฯสามารถคว้าโอกาสการลงทุนที่เหมาะสมเพื่อการเติบโตต่อไปในอนาคต”