ผู้จัดการรายวัน 360 - ธุรกิจขายตรงกระเตื้องขึ้น เผย 4 เดือนแรกคนแห่เข้าขายตรงเพิ่ม 5% เหตุเศรษฐกิจไม่ดี คาดว่าปีนี้โต 3-5% ทะลุ 7.3 หมื่นล้านบาท เปิดผลวิจัยเทรนด์ขายตรงเกาะรถไฟสายออนไลน์เฟื่อง
ดร.ภคพรรณ ลีวุฒินันท์ นายกสมาคมการขายตรงไทย เปิดเผยว่า แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะยังไม่ค่อยดีก็ตาม แต่ในช่วง 4 เดือนแรกปี 2559 ตลาดรวมขายตรงเริ่มฟื้นตัวดีกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วประมาณ 5% โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าสู่ระบบขายตรงของผู้บริโภคมีเพิ่มขึ้นกว่า 5% จากปีที่แล้ว โดยปัจจุบันมีฐานคนที่อยู่ในระบบประมาณ 11 ล้านคน เพราะเมื่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมไม่ค่อยดีก็จะส่งผลให้คนเข้าสู่ระบบขายตรงมากขึ้น คาดว่าตลาดขายตรงรวมปีนี้จะมีมูลค่า 7.3 หมื่นล้านบาท เติบโต 3-5%
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มตลาดขายตรงในไทยเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับระบบออนไลน์และโซเชียลมีเดียมากขึ้นไม่แพ้ในต่างประเทศ เนื่องจากทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคคนไทย รวมทั้งการเติบโตของโซเชียลมีเดียที่มีอย่างมากในไทย ทำให้การขายตรงผ่านออนไลน์เริ่มมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นเช่นกัน
จากผลการวิจัยล่าสุดของสมาคมฯ ที่ร่วมมือกับศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ (SAB) ถือเป็นข้อมูลที่สะท้อนได้อย่างดี เนื่องจากเป็นการสำรวจพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีผลต่อภาคธุรกิจขายตรง เพื่อให้ผู้ประกอบการธุรกิจขายตรงสามารถนำผลสำรวจที่ได้ไปประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของแต่ละบริษัท โดยเฉพาะการเลือกใช้สื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการปรับตัวด้านการประชาสัมพันธ์ ขณะที่สื่อออนไลน์เข้ามามีบทบาทและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคมากขึ้น ซึ่งผลสำรวจที่ออกมาเห็นได้ชัดเจนว่าผู้บริโภคมีการเปิดรับข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจขายตรงจากสื่อต่างๆ เพิ่มมากขึ้น และมีทัศนคติที่เป็นบวก
นายธน หาพิพัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ (SAB) เปิดเผยว่า จากการจัดทำโครงการสำรวจพฤติกรรมการบริโภค ทัศนคติ และความสนใจในการทำธุรกิจขายตรง โดยสำรวจบุคคลทั่วไปที่ไม่ใช่ผู้จำหน่ายอิสระ 4 กลุ่มคือ Gen B อายุ 52-70 ปี, Gen X อายุ 37-51 ปี, Gen Y อายุ 22-36 ปี และ Gen Z อายุ 18-21 ปี ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล, เชียงใหม่, นครราชสีมา, สงขลา โดยใช้วิธีการสุ่มแบบกำหนดโควต้า (Quota Sampling) เพื่อให้มีการกระจายตัวอย่างไปตามพื้นที่ และช่วงอายุที่กำหนด รวม 1,951
ตัวอย่างผลสำรวจ 4 กลุ่มอายุ พบว่า เนื้อหาในสื่อที่มีการติดตามมากที่สุดคือ ข่าวสารทั่วไป 97.3% รองลงมาคือข่าวบันเทิง 81.0% ขณะที่ 34% สนใจติดตามข่าวสารธุรกิจขายตรง โดยกลุ่ม Gen Y และ Gen Z มีแนวโน้มให้ความสนใจมากกว่ากลุ่ม Gen Baby และ Gen X
ผลการสำรวจยังพบว่าสื่อฟรีทีวียังเป็นช่องทางอันดับหนึ่ง แต่โซเชียลมีเดียโดยเฉพาะเฟซบุ๊กและไลน์ได้ขยับขึ้นมามีบทบาทและมีอิทธิพลด้านข้อมูลข่าวสารเพิ่มขึ้นมากกว่าสื่อวิทยุและสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะกับกลุ่ม Gen Y และ Gen Z
จากการสำรวจพบว่า มีผู้บริโภคเพียง 17% เท่านั้นที่เชื่อมั่นการสั่งสินค้าแบบออนไลน์ ในขณะที่กลุ่มที่ไม่เชื่อมั่นและไม่แน่ใจมีสัดส่วนใกล้เคียงกันคือประมาณ 40% ทั้งนี้เฉลี่ยแล้วกลุ่มตัวอย่างใช้เวลาในการใช้โซเชียลมีเดีย 7 ชั่วโมงต่อวันต่อคน โดยกลุ่ม Gen Baby B ใช้น้อยสุดเฉลี่ย 5 ชั่วโมงต่อวัน กลุ่ม Gen X ใช้เฉลี่ย 7 ชั่วโมงต่อวัน กลุ่ม Gen Y ใช้เฉลี่ย 9 ชั่วโมงต่อวันเท่ากับกลุ่ม Gen Z โดยส่วนใหญ่ Gen Baby B จะใช้สื่อทีวีมาก ส่วนอีก 3 กลุ่มจะใช้สื่ออื่นๆ มาก เช่น เฟซบุ๊ก, ไลน์, ทวิตเตอร์, อินสตาแกรม เป็นต้น
นอกจากนั้นยังพบด้วยว่า กลุ่มคน Gen Y และ Gen X ให้ความสนใจที่จะเข้าสู่ระบบขายตรงมากกว่าด้วย ทั้งการสนใจซื้อสินค้าและการเป็นนักธุรกิจขายตรง โดยสองกลุ่มนี้จะมีบทบาทและมีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดรวมขายตรงในอนาคตด้วย
“จากการสอบถามประสบการณ์การใช้สินค้าขายตรงในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา พบว่า 45.8% เคยใช้สินค้าขายตรง โดยประเภทสินค้าขายตรงที่เคยใช้มากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ 41.7% ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม 41.5% และผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัว หรือของใช้ประจำวัน 27.6%”
เมื่อเปรียบเทียบสินค้าขายตรงกับสินค้าทั่วไป พบว่า ตัวอย่างที่เคยใช้สินค้าขายตรงมีแนวโน้มความพึงพอใจสินค้าขายตรงมากกว่าสินค้าที่วางขายทั่วไปในหลายด้าน โดยเฉพาะด้านคุณภาพ บริการหลังการขายและระบบการรับประกันสินค้า
ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ เปิดเผยต่อไปถึงผลการประเมินคุณลักษณะและภาพลักษณ์ต่าง ๆ ของผู้จำหน่ายสินค้าขายตรงรวม 13 ด้าน พบว่าส่วนใหญ่ระหว่าง 65.2-87.2% ประเมินในทิศทางบวกซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าทิศทางลบค่อนข้างชัดเจน นอกจากนี้กว่า 1 ใน 3 หรือ 33.5% ยังให้ความสนใจสมัครเป็นสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าขายตรงใช้อีกด้วย ด้านปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้า พบว่าคุณภาพและราคาเป็นสองปัจจัยหลักที่ตัวอย่างให้ความสำคัญเกินกว่า 40% ในการตัดสินใจซื้อสินค้า ทั้งสินค้าขายตรงและสินค้าทั่วไป