ผู้จัดการรายวัน360-“พาณิชย์”ผนึกกรมการท่องเที่ยว กรมที่ดิน ดีเอสไอ ทำแผนจัดการต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจสงวนของคนไทย โพกัสธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ซื้อขายผลไม้ และธุรกิจเกี่ยวเนื่องอสังหาริมทรัพย์ เหตุได้รับการร้องเรียนและเป็นปัญหาหนักในปัจจุบัน พร้อมประสานผู้ว่าฯ ร่วมทีมทำงาน เน้นจังหวัดที่มีปัญหาก่อน
น.ส.ผ่องพรรณ เจียรวิริยะพันธ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมการท่องเที่ยว กรมที่ดิน และกรมการค้าภายใน ทำแผนบูรณาการในการแก้ไขปัญหาคนต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจสงวนของคนไทย โดยการให้คนไทยถือหุ้นแทนคนต่างด้าว (นอมินี) หรือการเข้ามาทำธุรกิจโดยตรง ซึ่งจะมุ่งเน้นการมีมาตรการในการบริหารจัดการใน 3 ธุรกิจหลักที่ได้รับนโยบายจากรัฐบาลให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน คือ ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจการเกษตรที่เกี่ยวกับการรับซื้อผลไม้เพื่อส่งออก และธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ และคาดว่าภายในสิ้นเดือนเม.ย.นี้ จะมีมาตรการดำเนินการที่ชัดเจนออกมา
ทั้งนี้ ในส่วนของธุรกิจท่องเที่ยว จะทำงานร่วมกับกรมการท่องเที่ยว เพราะปัจจุบันธุรกิจท่องเที่ยวมีการขยายตัวมากขึ้น มีทัวร์ต่างประเทศหลั่งไหลเข้ามา โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ภูเก็ต ทำให้มีนักธุรกิจต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ทั้งร้านอาหาร โรงแรม ร้านขายของที่ระลึก และการใช้ไกด์ต่างชาติ รวมถึงปัญหารถบ้าน ที่จะต้องมีการจัดระเบียบ เพื่อให้เกิดความปลอดภัย ซึ่งจะมีการประสานงานและช่วยกันชี้เป้า ก่อนที่จะเข้าไปดำเนินการตามกฎหมาย
ส่วนในด้านการซื้อสินค้าเกษตร ได้ให้กรมการค้าภายในเป็นเจ้าภาพหลักในการเข้าไปติดตามดูแล โดยเฉพาะการดูแลโรงคัดแยกบรรจุผลไม้ (ล้ง) ที่จะต้องมีการขึ้นทะเบียน และมีระบบการติดตามดูแล เพื่อไม่ให้มีการดำเนินการที่ผิดกฎหมาย เพราะหากซื้อแล้วส่งออก ถือว่าทำได้ แต่ถ้าซื้อแล้ว เอามาขายในประเทศ จะทำไม่ได้ ซึ่งต้องมีการตรวจสอบให้รัดกุม
ขณะที่การทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ทั้งธุรกิจห้องเช่า อพาร์ตเมนท์ และการถือครองที่ดิน ได้ร่วมกับกรมที่ดินในการตรวจสอบ เพราะกฎหมายไม่อนุญาตให้คนต่างชาติเป็นเจ้าของที่ดินในไทย
“กรมฯ จะทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีปัญหา จะมีการประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อบูรณาการในการทำงาน เพราะทุกวันนี้ การเข้ามาทำธุรกิจของคนต่างชาติ ไม่ใช่แค่มาจ้างให้คนไทยเป็นนอมินีให้ แต่มีถึงขั้นเข้ามาเป็นเจ้าของธุรกิจโดยตรง ซึ่งกฎหมายคนต่างด้าว อาจดูแลไม่ทั่วถึง จึงต้องดึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาจัดการ และยังได้ดึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้ามาช่วยทำงานด้วย”
น.ส.ผ่องพรรณกล่าวว่า ในปีนี้ กรมฯ ได้ปรับแผนการตรวจสอบการทำธุรกิจของคนต่างชาติ โดยมีจำนวน 10 กลุ่ม ได้แก่ ขายอาหารและเครื่องดื่ม , ท่องเที่ยว , ให้เช่าซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ , นายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์ , ให้เช่ารถยนต์ ร้านขายของที่ระลึก , ขายปลีกทางอินเตอร์เน็ต (e-commerce) , ธุรกิจขายตรง , บริการทางด้านการศึกษา และสปา โดยครอบคลุม10 จังหวัด เช่น ภูเก็ต , เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี , เชียงใหม่ , เชียงราย , กระบี่, พัทยา ชลบุรี , เกาะช้าง ตราด , หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ และชะอำ เพชรบุรี
สำหรับการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กรมฯ มีแผนที่จะว่าจ้างสถาบันการศึกษาให้ศึกษาเพื่อปรับปรุงกฎหมายให้มีความเป็นสากล เพื่อให้เกิดประโยชน์กับเศรษฐกิจของประเทศ และสามารถดูแลปัญหานอมินีให้ได้ผลสอดคล้องกับสถานการณ์ที่แท้จริงในปัจจุบัน
นอกจากนี้ กรมฯ ยังจะทำการปรับปรุงประเภทธุรกิจในบัญชีท้ายให้เหมาะสมกับสภาพการค้า การลงทุน และสอดรับนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ โดยได้เริ่มทยอยผ่อนคลายการขออนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างชาติ เน้นธุรกิจที่มีกฎหมายและหน่วยงานเฉพาะกำกับดูแล ซึ่งจะมีการผ่อนปรนอีก เช่น ธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่องกับธนาคารสถาบันการเงิน , การจัดตั้งสำนักงานตัวแทน , ธุรกิจบริการในเครือในกลุ่มและธุรกิจที่เป็นคู่สัญญากับภาครัฐ เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจให้ง่ายขึ้น