ผู้จัดการรายวัน 360 - “ซีพี รีเทลลิงค์” โชว์รายได้ 3.5 พันล้านบาทในปี 58 คาดปี 59 เติบโตเป็น 36% ยกธุรกิจกาแฟเป็นตัวนำ หวังรายได้ 50% ใน 2 ปี เผยเตรียมบริหารร้านกาแฟในสถานีบริการน้ำมัน “พีที” 30-50 แห่ง พร้อมขยายธุรกิจ “ร้านกาแฟ มวลชน” หลังใช้นโยบายระบบสมาชิกแทนการขายแฟรนไชส์ ก่อนแตกไลน์แบรนด์พรีเมียมภายใน 3 เดือน
ดร.นริศ ธรรมเกื้อกูล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี รีเทลลิงค์ จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2558 บริษัทฯ มีรายได้รวม 3.5 พันล้านบาท เติบโตขึ้น 24% โดยมีรายได้จากธุรกิจกาแฟ 1.5 พันล้านบาท ส่วนอีก 2 พันล้านบาทเป็นรายได้จากธุรกิจงานซ่อมบำรุงให้หน่วยงานต่างๆ เช่น ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ตู้แช่ไอศกรีมวอลล์ เครื่องปรับอากาศธนาคารกสิกรไทย และอื่นๆ
ในปี 2559 คาดว่ารายได้รวมจะเติบโตเป็น 36% เนื่องจากบริษัทฯ จะเริ่มขยายธุรกิจกาแฟเป็นหลัก โดยจะใช้เงินลงทุนประมาณ 100 ล้านบาทก่อสร้างโรงงงานคั่วเมล็ดกาแฟบนพื้นที่ 1 ไร่ย่านมหาชัย คาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินงานได้ภายในเดือน ต.ค.ศกนี้ เพื่อรองรับการขยายธุรกิจร้านกาแฟ ซึ่งในปี 2559 มีแผนบริหารร้านกาแฟให้สถานีบริการน้ำมัน PT ประมาณ 30-50 แห่ง และร้านไก่ย่างห้าดาวซึ่งปัจจุบันดำเนินงานไปแล้ว 3 แห่ง โดยภายใน 3 เดือนนับจากนี้ยังจะเปิดตัวธุรกิจร้านกาแฟระดับพรีเมียมในระดับราคา 50 บาทขึ้นไปอีกด้วย
ดร.นริศยังกล่าวถึงโครงการอบรมกาแฟสร้างอาชีพเพื่อสังคมและชุมชน ซึ่งเริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2554 จนปัจจุบันว่า มีผู้เข้ารับการอบรมแล้ว 65 รุ่น เป็นจำนวน 7.5 พันคน โดยบริษัทฯ ได้เปิดดำเนินธุรกิจร้าน “กาแฟมวลชน” สาขาแรกใน ซ.วิภาวดี 64 พร้อมศูนย์วิจัยกาแฟเพื่อสังคม เมื่อปี 2555 จนปัจจุบันมีสาขาทั้งหมดประมาณ 50 แห่ง แบ่งเป็นกรุงเทพฯ 25 สาขา และต่างจังหวัด 25 สาขา เป็นการลงทุนของบริษัทฯ บนพื้นที่ 9-120 ตร.ม. ด้วยงบประมาณ 3 แสนบาทจนถึง 1 ล้านบาท
“ร้านกาแฟมวลชนที่บริษัทฯ ดำเนินงานเป็นในลักษณะการทำตลาดระดับกลางถึงล่าง จำหน่ายในราคาขั้นต่ำ 29 บาท มียอดจำหน่ายวันละประมาณ 100 แก้ว โดยคาดว่าร้านกาแฟมวลชนจะเริ่มขยายตัวเป็นจำนวนมากขึ้นในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากมีผู้สนใจขอใช้แบรนด์เป็นจำนวนมาก เพราะบริษัทฯ ไม่ได้ดำเนินธุรกิจในลักษณะแฟรนไชส์ โดยไม่เรียกเก็บค่าสมาชิกแรกเข้าและค่าใช้จ่ายอื่นๆ แต่จะเน้นการควบคุมและรักษามาตรฐานผลิตภัณฑ์และการให้บริการเป็นหลัก หากผู้ประกอบการรายใดไม่สามารถรักษาคุณภาพได้บริษัทฯ ก็จะไม่อนุญาตให้ใช้ชื่อร้านกาแฟมวลชนอีกต่อไป”
ดร.นริศกล่าวอีกว่า ภาพรวมตลาดร้านกาแฟในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 4 หมื่นล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 20% ต่อปี และยังมีโอกาสขยายตัวอีกมาก เนื่องจากปัจจุบันคนไทยมีการบริโภคเฉลี่ยคนละ 100 แก้วต่อปี ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกาซึ่งบริโภคเฉลี่ยคนละ 1 พันแก้วต่อปี
“ในส่วนของบริษัทฯ พบว่าธุรกิจกาแฟมีการเติบโตอย่างโดดเด่น จาก 5 ปีที่ผ่านมาซึ่งทำสัดส่วนรายได้เพียง 5% แต่ปัจจุบันเพิ่มเป็น 20% จึงมั่นใจว่าการขยายธุรกิจและลงทุนในครั้งนี้จะทำให้มีสัดส่วนรายได้เพิ่มเป็น 50% ภายใน 2 ปี”
ดร.นริศกล่าวในตอนท้ายว่า บริษัทฯ มีนโยบายส่งเสริมธุรกิจกาแฟในประเทศไทย เนื่องจากเห็นว่าเป็นพืชผลทางการเกษตรชนิดเดียวที่มีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในรอบ 3 ปี ขณะที่ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง และอื่นๆ มีราคาตกลงอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ มีการรับซื้อกาแฟโดยตรงจากเกษตรกรในราคาสูงกว่าตลาด 20% โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ทั้งยังเป็นพันธมิตรกับผู้ประกอบการโรงงานคั่วเมล็ดกาแฟอีก 6 แห่งทั่วประเทศในจังหวัดเชียงใหม่ ลพบุรี นนทบุรี และอื่นๆ