“บ้านปู” ลั่นปีนี้พลิกฟื้นมีกำไรอีกครั้ง หลังจากปี 58 ขาดทุน 1.53 พันล้านบาท เนื่องจากปีนี้รับรู้กำไรจากโรงไฟฟ้าหงสาปีละ 70-100 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดต้นทุนการผลิตถ่านหินและนำถ่านหินมาผสมเพื่อให้ได้คุณภาพและราคาที่ดีขึ้น มั่นใจราคาถ่านหินพ้นจุดต่ำสุดแล้ว
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯ มั่นใจมีผลการดำเนินงานพลิกกลับมามีกำไรอีกครั้ง จากปี 2558 มีผลขาดทุนสุทธิ 1,534 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้จะรับรู้กำไรจากโรงไฟฟ้าหงสาครบทั้ง 3 ยูนิต 1,878 เมกะวัตต์ เป็นเงินตามสัดส่วนการถือหุ้น 70-100 ล้านเหรียญสหรัฐ และเพิ่มปริมาณการขายถ่านหินเป็น 44 ล้านตัน ลดต้นทุนการผลิตถ่านหิน และนำถ่านหินจากเหมืองอินโดนีเซียและออสเตรเลียผสมกันเพื่อให้ได้คุณภาพและราคาขายที่ดีขึ้น
โดยปีนี้คาดว่าจะมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและภาษี (EBITDA) 600 ล้านเหรียญสหรัฐ ดีขึ้นกว่าปี 2558 ที่มี EBITDA เกือบ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากบริษัทได้มีการปรับลดต้นทุนการผลิต ขณะเดียวกันก็หาโอกาสที่จะซื้อกิจการเหมืองถ่านหินใหม่โดยรอบเพื่อแชร์สาธารณูปโภคร่วมกัน ทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลงอีก ขณะที่ธุรกิจไฟฟ้าก็มีแผนที่จะขยายการลงทุนเพิ่มเติมทั้งในและต่างประเทศ โดยในประเทศก็เตรียมความพร้อมที่จะขยายกำลังการผลิตอีก 1,000 เมกะวัตต์ในพื้นที่ใกล้เคียงโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี ส่วนต่างประเทศได้มีการเจรจาซื้อกิจการหรือลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนทั้งแสงอาทิตย์ พลังน้ำ และไบโอแมส ทั้งในญี่ปุ่นลาว กัมพูชา ฟิลิปปินส์ จีน และเวียดนาม คิดเป็นกำลังการผลิตหลายร้อยเมกะวัตต์
นางสมฤดีกล่าวถึงทิศทางราคาถ่านหินว่า ขณะนี้ราคาถ่านหินขยับขึ้นมาอยู่ที่ 52 เหรียญสหรัฐ/ตัน สูงกว่าปลายปีก่อนที่ 49 เหรียญสหรัฐ/ตัน คาดว่าในระยะยาว 10 ปีข้างหน้า ราคาถ่านหินจะขยับขึ้นมาอยู่ที่ 70-75 เหรียญสหรัฐ/ตัน เชื่อว่าราคาถ่านหินได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วซึ่งราคาถ่านหินที่ขยับขึ้นนี้จะไม่รวดเร็ว เนื่องจากกำลังการผลิตยังเกินความต้องอยู่มาก
สำหรับงบลงทุน 5 ปีนี้ (2559-2563) กำหนดวงเงินที่ 554 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าถึง 400 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่เหลือเป็น การลงทุนในธุรกิจถ่านหิน 154 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งลดลงจากงบลงทุนเดิมถึง 70% เนื่องจากตามแผนลงทุนปี 2555-2558 ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในธุรกิจถ่านหินทั้งท่าเรือ ถนนและเส้นทางรถไฟแล้ว แต่แผนลงทุน 5 ปีนี้จะเน้นการปรับลดต้นทุนในเหมืองถ่านหินเป็นหลัก
ในปีนี้บ้านปูวางงบลงทุนกว่า 300 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนใหญ่ใช้เป็นส่วนทุนในโรงไฟฟ้าหงสา รวมทั้งแสวงหาโอกาสการลงทุนธุรกิจไฟฟ้าเพิ่มเติม โดยปีนี้บริษัทฯคาดว่าจะมีการลงทุนธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้นในญี่ปุ่นอีก 100 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ 54 เมกะวัตต์ โดยตั้งเป้าหมายใน 5 ปีข้างหน้าจะมีกำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่นเพิ่มเป็น 500 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังสนใจเข้าประมูลทำโรงไฟฟ้าในอินโดนีเซีย ขนาด 100-300 เมกะวัตต์ หลังจากพลาดแพ้ประมูลโรงไฟฟ้าถ่านหินจาวา 7 ขนาดกำลังผลิต 2 พันเมกะวัตต์ เป้าหมายปี 2563 ที่บ้านปู เพาเวอร์จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 2,400 เมกะวัตต์ คิดเป็นการลงทุนพลังงานทดแทน 20% ของกำลังการผลิตรวม
นางสมฤดีกล่าวว่า ในปีนี้บริษัทฯ มีแผนจะออกหุ้นกู้ 5,000-10,000 ล้านบาทเพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนดชำระ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ