“บ้านปู” กางแผนธุรกิจระยะ 5 ปี ด้วยกลยุทธ์เติบโตอย่างสมดุลทั่วเอเชีย บนแนวทางความยั่งยืนระดับโลก ชูจุดแข็งด้านกระแสเงินสด พร้อมความเชี่ยวชาญในการพัฒนาและบริหารโครงการขนาดใหญ่ เดินหน้าสร้างสมดุลธุรกิจถ่านหิน-ไฟฟ้า-พลังงานทดแทน ขานรับทิศทางพลังงานสะอาดและความมั่นคงด้านพลังงานเพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาคพื้นเอเชีย โดย 5 ปีจะใช้เงินลงทุนรวม 554 ล้านเหรียญสหรัฐ มั่นใจขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการลงทุนให้เป็น 4,300 เมกะวัตต์ โดยแบ่งเป็นพลังงานหมุนเวียนร้อยละ 20 ภายในปลายปี 2568
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บ้านปูฯ มีนโยบายการลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนและสมดุล โดยคำนึงถึงมิติด้านสิ่งแวดล้อม มิติด้านความมั่นคงทางพลังงานและการพัฒนาสังคม และมิติทางธุรกิจ ทั้งนี้ โครงการจำนวนมากที่บริษัทฯ ลงทุนไปในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาและอยู่ระหว่างการพัฒนารวมถึงโครงการที่บริษัทฯ กำลังพิจารณาลงทุนเพิ่มเติมทั้งในไทยและในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น และจีน มุ่งเน้นที่พลังงานทดแทน ซึ่งสอดคล้องกับแนวปฏิบัติตามข้อตกลงจากการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 21 (COP21) และยุทธศาสตร์ด้านพลังงานและการกระจายเชื้อเพลิงของประเทศต่างๆ
แผนกลยุทธ์เติบโตอย่างสมดุลทั่วเอเชีย บนแนวทางความยั่งยืนระดับโลก ของบ้านปูฯ กำหนดทิศทางการดำเนินงานระหว่างปี 2559-2563 พร้อมงบประมาณสำหรับการลงทุนราว 554 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยผสาน 5 แนวทางหลัก ได้แก่ ความยืดหยุ่นพร้อมรับมือปัจจัยทางเศรษฐกิจภายนอกที่ผันผวน ควบคู่กับการบริหารต้นทุนที่รัดกุม เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าด้วยความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม และต่อยอดการเติบโตของสินทรัพย์ ซึ่งรวมถึงการเสนอขายหุ้นของบริษัทย่อย บ้านปูเพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (Initial Public Offering : IPO) ในระยะเวลาที่เหมาะสม โดยพิจารณาปัจจัยเกื้อหนุนของตลาดทุน
กระบวนการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ของบ้านปูเพาเวอร์เดินหน้าตามแผนเรียบร้อยดี และบริษัทฯ ก็มีความพร้อมที่จะนำเข้าเทรดโดยพิจารณาถึงภาวะตลาดฯ ที่เหมาะสม ซึ่งไม่ได้รีบร้อน เพราะมองเป้าที่การพัฒนาศักยภาพของธุรกิจให้เติบโตอย่างเข้มแข็งในอนาคตมากกว่า โดยในอีก 5 ปีข้างหน้า คาดว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศไทย ลาว และจีน จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องด้วยอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปีที่ประมาณร้อยละ 7 ขณะที่ตลาดการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่นมีการเติบโตรวดเร็วที่สุดในเอเชียแปซิฟิก ด้วยอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปีสูงกว่าร้อยละ 25
ตามแผนขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องในหลายภูมิภาค คาดว่าภายในสิ้นปี 2563 บ้านปูเพาเวอร์จะสามารถขยายกำลังการผลิตตามสัดส่วนการลงทุนเป็น 2,394 เมกะวัตต์เทียบเท่า โดยโรงไฟฟ้าซานซีลู่กวง ในประเทศจีน กำลังผลิตติดตั้งรวม 1,320 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการและคาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงปลายปี 2560 ขณะที่อีก 7 โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่น รวมกำลังการผลิตติดตั้งตามสัดส่วนการลงทุน 54 เมกะวัตต์ จะทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ระหว่างปี 2559-2561 ทั้งนี้ ภายในปี 2568 คาดว่าบริษัทฯ มีศักยภาพที่จะเพิ่มการลงทุนให้มีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการลงทุนที่ประมาณ 4,300 เมกะวัตต์เทียบเท่า โดยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในอัตราร้อยละ 20
สำหรับธุรกิจถ่านหิน บริษัทฯ ยังคงเดินหน้ามาตรการควบคุมต้นทุนการผลิตและลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน พร้อมพัฒนาสินค้าคุณภาพสูงสำหรับตลาดพรีเมี่ยม เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน โดยในปี 2559 บริษัทฯ ตั้งเป้าปริมาณการขายถ่านหินจากทั้งอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และจีน รวมที่ 44 ล้านตัน ทั้งยังมองจังหวะที่จะเข้าซื้อกิจการเพิ่มเติมเพื่อเตรียมคว้าโอกาสเมื่อตลาดถ่านหินฟื้นตัว
สำหรับผลการดำเนินงานงวดปี 2558 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวมจำนวน 2,477 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า 84,650 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการจำหน่ายถ่านหินจำนวน 2,285 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 92 ของรายได้จากการขายรวม และรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้า ไอน้ำ และอื่นๆ จำนวน 191 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 8 ด้วยนโยบายลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการลดอัตราส่วนการขุดขนดินต่อถ่านหิน 1 ตัน (Strip Ratio) จาก 9.76 มาอยู่ที่ 8.65 ผนวกกับการที่น้ำมันเชื้อเพลิงมีราคาลดลงตามภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลก ส่งผลให้ต้นทุนขายรวมในปี 2558 ลดลงร้อยละ 22 เมื่อเทียบกับปีก่อน มาอยู่ที่ 1,672 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยธุรกิจถ่านหินยังคงอัตรากำไรขั้นต้นที่ร้อยละ 32 ขณะที่ธุรกิจไฟฟ้ามีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 38 เนื่องจากการลดลงของราคาตลาดถ่านหิน ส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าลดลง
ตามมติคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2559 ให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2559 พิจารณาอนุมัติให้บริษัทฯ จ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 1.00 บาท ซึ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2558