เอสพีซีจี ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 5.5 พันล้านบาท หรือเติบโตจากปีก่อนหน้า 10% ผลดีการกำลังผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ขณะภาระดอกเบี้ยจ่ายต่ำหลังคืนหนี้สถาบันการเงิน ปีนี้อัดงบ 1 พันล้านบาท เพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าอีก 100 เมกะวัตต์ เน้นขยายงานประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งญี่ปุ่น และการผนึกพันธมิตรลุยงานโครงการ
น.ส.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) SPCG เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 5.5 พันล้านบาท เพิ่้มจากปีก่อนที่ทำไว้ประมาณ 5 พันล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 10% และอัตรากำไรสุทธิในปีนี้เพิ่มขึ้นจาก 45% ในปีก่อน ซึ่งเป็นการเติบโตตามกำลังการผลิตไฟฟ้าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ขณะที่ดอกเบี้ยจ่ายลดลงเฉลี่ยปีละ 300 ล้านบาท จากการออกหุ้นกู้มูลค่า 1.25 หมื่นล้านบาท เมื่อเดือนธันวาคม 58 ซึ่งนำไปชำระคืนหนี้สถาบันทางการเงิน 1.23 หมื่นล้านบาท
โดย SPCG กางแผน 5 ปี (ปี 58-62) ว่า บริษัทจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็นไม่ต่ำกว่า 500 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้าในมือ 261 เมกะวัตต์ โดยวางงบลงทุน 5 ปีไว้ที่ 3-4 พันล้านบาท เน้นขยายไปยังต่างประเทศ ทั้งในพม่า ฟิลิปปินส์ และวันที่ 9 กุมภาพันธ์นี้จะเปิดเผยรายละเอียดของโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ประเภทโซลาร์ฟาร์ม ในญี่ปุ่น
ส่วนการขยายกำลังการผลิตในประเทศนั้น บริษัทรอความชัดเจนจากโครงการโซลาร์ฟาร์มส่วนราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร ซึ่งมีความล่าช้า แต่ถ้าหากเกิดขึ้นจริงบริษัทก็อาจจะไปร่วมกับพันธมิตร คาดว่าจะได้ไม่ต่ำกว่า 50 เมกะวัตต์
น.ส.วันดี กล่าวว่า ปีนี้บริษัทวางงบลงทุนไว้ที่ 1 พันล้านบาท เพื่อใช้ขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าอีก 100 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้สิ้นปี 59 บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมทั้งหมดอยู่ที่ 361 เมกะวัตต์ จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 261 เมกะวัตต์
ขณะที่รายได้จากการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) ปีนี้เพิ่มเป็น 20% จากปี 58 อยู่ที่ 3-4% แม้ว่างานดังกล่าวอาจจะมีมาร์จิ้นไม่สูงมากนัก แต่ยังมีโอกาสเติบโตได้ เพราะล่าสุดได้ไปร่วมกับพันธมิตร คือ บมจ.ธนาพัฒน์ พร็อพเพอร์ตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ เพื่อติดตั้ง ซลาร์รูฟบนหลังคาของโครงการ และหากธนาพัฒน์ฯ เปิดโครงการอื่นๆ ในอนาคตบริษัทก็จะร่วมติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปตามไปด้วย
น.ส.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) SPCG เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 5.5 พันล้านบาท เพิ่้มจากปีก่อนที่ทำไว้ประมาณ 5 พันล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 10% และอัตรากำไรสุทธิในปีนี้เพิ่มขึ้นจาก 45% ในปีก่อน ซึ่งเป็นการเติบโตตามกำลังการผลิตไฟฟ้าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ขณะที่ดอกเบี้ยจ่ายลดลงเฉลี่ยปีละ 300 ล้านบาท จากการออกหุ้นกู้มูลค่า 1.25 หมื่นล้านบาท เมื่อเดือนธันวาคม 58 ซึ่งนำไปชำระคืนหนี้สถาบันทางการเงิน 1.23 หมื่นล้านบาท
โดย SPCG กางแผน 5 ปี (ปี 58-62) ว่า บริษัทจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็นไม่ต่ำกว่า 500 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้าในมือ 261 เมกะวัตต์ โดยวางงบลงทุน 5 ปีไว้ที่ 3-4 พันล้านบาท เน้นขยายไปยังต่างประเทศ ทั้งในพม่า ฟิลิปปินส์ และวันที่ 9 กุมภาพันธ์นี้จะเปิดเผยรายละเอียดของโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ประเภทโซลาร์ฟาร์ม ในญี่ปุ่น
ส่วนการขยายกำลังการผลิตในประเทศนั้น บริษัทรอความชัดเจนจากโครงการโซลาร์ฟาร์มส่วนราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร ซึ่งมีความล่าช้า แต่ถ้าหากเกิดขึ้นจริงบริษัทก็อาจจะไปร่วมกับพันธมิตร คาดว่าจะได้ไม่ต่ำกว่า 50 เมกะวัตต์
น.ส.วันดี กล่าวว่า ปีนี้บริษัทวางงบลงทุนไว้ที่ 1 พันล้านบาท เพื่อใช้ขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าอีก 100 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้สิ้นปี 59 บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมทั้งหมดอยู่ที่ 361 เมกะวัตต์ จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 261 เมกะวัตต์
ขณะที่รายได้จากการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) ปีนี้เพิ่มเป็น 20% จากปี 58 อยู่ที่ 3-4% แม้ว่างานดังกล่าวอาจจะมีมาร์จิ้นไม่สูงมากนัก แต่ยังมีโอกาสเติบโตได้ เพราะล่าสุดได้ไปร่วมกับพันธมิตร คือ บมจ.ธนาพัฒน์ พร็อพเพอร์ตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ เพื่อติดตั้ง ซลาร์รูฟบนหลังคาของโครงการ และหากธนาพัฒน์ฯ เปิดโครงการอื่นๆ ในอนาคตบริษัทก็จะร่วมติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปตามไปด้วย