“บางจาก” เผยปีนี้ค่าการกลั่นลดลงจากปีก่อนอยู่ที่ 6-7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หลังจากราคาน้ำมันทรงตัว และปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น 46 วัน ฉุดกำลังการกลั่นลดลงเหลือ 1 แสนบาร์เรล/วัน ทำให้ EBITDA ทั้งปีโตขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 1.26 หมื่นล้านบาท ดัน BCPG เข้าตลาดหุ้นได้ในไตรมาส 4/59 ได้เงินจากการขายหุ้น IPO 6-8 พันล้านบาท
นายสุรชัย โฆษิตเสรีวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บัญชีและการเงิน บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (BCP) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯ คาดค่าการกลั่นเฉลี่ย (GRM) อยู่ที่ 6-7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลดลงจากปีก่อนที่มี GRM 9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากปีนี้ราคาน้ำมันทรงตัวในระดับต่ำต่างจากปีที่แล้วราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงแรงถึง 50% โดยประเมินว่าราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 27-43 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้เฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 33 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ทำให้ทั้งปีบริษัทฯ ตั้งเป้ากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและภาษี (EBITDA) อยู่ที่ 1.26 หมื่นล้านบาท ดีขึ้นกว่าปีก่อนเล็กน้อย แม้ว่าปีนี้มีการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น 46 วัน ตั้งแต่วันที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมาทำให้กำลังการกลั่นน้ำมันในปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 96,000-100,000 บาร์เรล/วัน ลดลงจากปีก่อนที่มีกำลังการกลั่นเฉลี่ย 113,000 บาร์เรล/วัน และโรงงานผลิตไบโอดีเซลแห่งที่ 2 เดินเครื่องเต็มปี ทำให้กำลังการผลิตไบโอดีเซลเพิ่มเป็น 4.5 แสนลิตรต่อวัน รวมถึงธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากราคาน้ำมันดิบที่ขยับขึ้น โดยมีต้นทุนการผลิต NIDO อยู่ที่ 31 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
นายสุรพงษ์กล่าวต่อไปว่า สำหรับแผนการลงทุน 5 ปีนี้ (2559-2563) จะใช้เงินลงทุน 7.9 หมื่นล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาทบทวนเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทิศทางราคาน้ำมัน โดยในปีนี้ บริษัทคาดใช้งบลงทุน 20,500 ล้านบาท เพื่อใช้ลงทุนในโครงการปรับปรุงโรงกลั่น 3,000 ล้านบาท เพิ่มประสิทธิภาพโรงกลั่นและขยายโรงกลั่น 5,000 ล้านบาท ลงทุนโรงไฟฟ้า 7,500 ล้านบาท ลงทุนสำรวจและผลิตปิโตรเลียม 3,000 ล้านบาท ลงทุนธุรกิจเอทานอลและอื่นๆ 2,000 ล้านบาท โดยแหล่งเงินจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัทฯ ที่มีอยู่ 2 หมื่นล้านบาท ทำให้ไม่จำเป็นที่จะต้องกู้
ส่วนการนำบริษัทลูก คือ บริษัท บีซีพีจี จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจไฟฟ้าเข้าตลาดหลักทรัพย์นั้น จะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อ ก.ล.ต.ในการขายหุ้น IPO ในปลายเดือน มี.ค. และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ในไตรมาส 4/2559
นายพจน์ หะริณสุต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท บีซีพีจี จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯคาดว่าจะได้เม็ดเงินจากการขายหุ้นIPOประมาณ 6-7 พันล้านบาท รวมกับการเตรียมกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินอีก 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเพียงพอใช้ในการลงทุนธุรกิจไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ โดยบริษัทฯตั้งเป้าหมายมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 500เมกะวัตต์ในปี 2563 ใช้เงินลงทุนอีก 4-5 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้า 175 เมกะวัตต์ ซึ่งการกำลังผลิตไฟที่เข้าระบบแล้ว (COD) 118 เมกะวัตต์ คาดว่าปลายปีนี้จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 350-400 เมกะวัตต์ เพราะอยู่ระหว่างการเจรจาลงทุนธุรกิจไฟฟ้าเพิ่มในไทยอีก 1-2 โครงการ และญี่ปุ่นอีก 2 โครงการ
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนธุรกิจไฟฟ้าในต่างประเทศเพิ่มขึ้น เช่น โครงการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และไบโอแมสที่เกาหลีใต้ ส่วนไต้หวันและจีนก็ศึกษาโอกาสการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม ส่วนญี่ปุ่นเล็งการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มเติม
บริษัทฯ ยังมองโอกาสการลงทุนโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในอินเดีย บังกลาเทศ และการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานใต้พิภพในมาเลเซียและอินโดนีเซีย รวมทั้งศึกษาการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานคลื่นที่ยุโรปและสหรัฐฯ ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะให้ญี่ปุ่นเป็น Regional Hub สำหรับการลงทุนธุรกิจพลังงานทดแทนในแถบ เอเชียตะวันออก