กรมพัฒน์ฯ จับมือแบงก์กรุงศรีพัฒนาระบบชำระเงินออนไลน์ผ่าน e-Payment ขยายโอกาสขายสินค้าให้แก่ผู้ประกอบการไทยที่ค้าขายผ่านเว็บไซต์ thaicommercestore.com และเพิ่มความสะดวกให้แก่นักชอปออนไลน์
น.ส.รัตนา เธียรวิศิษฎ์สกุล รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ร่วมมือกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) พัฒนาระบบชำระเงินออนไลน์ (e-Payment) ผ่าน HYPERLINK เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักชอปออนไลน์ที่ซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ www.Thaicommercestore.com ซึ่งเป็นตลาดกลางผลิตภัณฑ์ชุมชนออนไลน์ที่เป็นศูนย์กลางในการรวบรวมผู้ประกอบการและผลิตภัณฑ์ชุมชนของไทยที่หลากหลายให้มีช่องทางในการซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น
“การพัฒนาระบบการจ่ายเงินดังกล่าวจะช่วยขยายตลาดสู่นักชอปออนไลน์ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพราะสามารถสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคในการจับจ่ายซื้อสินค้าผ่านตลาดกลางออนไลน์”
ทั้งนี้ การจ่ายค่าสินค้าผ่านระบบ Krungsri e-Payment ผู้ซื้อจะสามารถชำระค่าสินค้าผ่านการตัดบัญชีของธนาคาร ซึ่งถือเป็นธนาคารพาณิชย์ไทยรายแรกที่มีการเชื่อมต่อระบบรับชำระเงินกับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อร่วมกันส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชนไทย
นางวรรณา ธรรมศิริทรัพย์ ประธานกลุ่มสนับสนุนธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและปฏิบัติการ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สนับสนุนผู้ประกอบการ e-Commerce มาตลอด และมีความร่วมมืออันดีกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยสิ่งที่กรุงศรีฯ สนับสนุนให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs คือ มีการเชื่อมต่อ payment gateway หรือระบบรับชำระเงินด้วยการหักบัญชีเงินฝากธนาคารให้แก่ผู้ประกอบการ และกรุงศรีฯ ยังพร้อมให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการ e-Commerce เพื่อร่วมกันขยายโอกาสเติบโตให้แก่ธุรกิจ OTOP ไทยอีกด้วย
“เพื่อเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการ OTOP ของไทยให้สามารถเข้าถึงระบบการชำระเงินอย่างเต็มรูปแบบ ธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมแรกเข้าและค่าธรรมเนียมรายปีในการเปิดใช้บริการของผู้ประกอบการ (ร้านค้าที่เป็นรูปแบบนิติบุคคล) เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการ OTOP ให้สามารถเข้าถึงการทำธุรกรรมทางออนไลน์ได้โดยสะดวก และประหยัดค่าใช้จ่าย”
สำหรับการพัฒนาระบบตลาดกลางผลิตภัณฑ์ชุมชนออนไลน์ Thaicommercestore.com ไม่เพียงแต่จะขานรับนโยบาย “เศรษฐกิจดิจิตอล (Digital Economy)” ของรัฐบาล ที่ต้องการให้ผู้ประกอบการหรือธุรกิจ SMEs ได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่ไปใช้ในการดำเนินธุรกิจมากขึ้นเท่านั้น ยังเป็นการขยายโอกาสทางการตลาด และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผลิตภัณฑ์ชุมชนของไทยในระยะยาวอีกด้วย