ผู้จัดการรายวัน 360 - “สยามรีเทล” เดินหน้าแผนพัฒนา ไม่หวั่นเศรษฐกิจ พร้อมสนใจเข้าร่วมประมูลที่ดินผืนงาม ชู 4 แบรนด์หลักรุกแต่ละทำเลที่ต่างกัน ล่าสุดเดินหน้าโครงการ “เทอร์มินอล 21” ใน 3 จังหวัดรวด ประเดิมที่ “พัทยา” บนพื้นที่ 50 ไร่ แทนแผนลงทุนในนครศรีธรรมราช
นายประเสริฐ ศรีอุฬารพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม รีเทล ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาศูนย์การค้าและอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจขณะนี้จะยังไม่ค่อยดีก็ตาม แต่บริษัทฯ ก็มีแผนลงทุนต่อเนื่อง โดยขณะนี้บริษัทมีที่ดินแน่นอนแล้วในการพัฒนาโครงการ “เทอร์มินอล 21” แห่งใหม่คือ พัทยา และขอนแก่น บนพื้นที่กว่า 50 ไร่ และที่นครศรีธรรมราช บนพื้นที่ 20 ไร่ แต่ได้ปรับแผนใหม่โดยจะพัฒนาโครงการที่พัทยาเป็นสาขาที่ 3 ภายในสิ้นปีนี้ หลังจากที่โครงการ “เทอร์มินอล 21 นครราชสีมา” เปิดให้บริการในช่วงปลายปี จากเดิมที่จะพัฒนาที่นครศรีธรรมราชก่อน แต่จำเป็นต้องเลื่อนออกไปเนื่องจากเพิ่งได้ที่ดินทำเลดีที่พัทยา โดยคาดว่าโครงการพัทยาจะมีมูลค่าลงทุนไม่ต่ำกว่า 6 พันล้านบาทเช่นกัน
บริษัทฯ ยังสนใจลงทุนในเมืองท่องเที่ยวหลัก เช่น เชียงใหม่ และภูเก็ต เป็นต้น ส่วนในกรุงเทพฯ ก็ยังมีความสนใจแต่คงลำบากในเรื่องของการหาพื้นที่แปลงใหญ่ทำเลดีใจกลางเมือง โดยอาจจะเข้าร่วมแข่งขันประมูลในโครงการที่มีการประกาศให้เข้าประมูลก็ได้ เช่น ที่ดินมักกะสันและบางซื่อ แต่จะเข้าประมูลในนามบริษัท หรือในนาม “แลนด์แอนด์เฮ้าส์” คงต้องรอดูสถานการณ์ในอนาคต
ปัจจุบันบริษัทฯ มี 4 แบรนด์ คือ แฟชั่น ไอส์แลนด์, เดอะ พรอมานาด, เทอร์มินอล 21 และไลฟ์ เซ็นเตอร์ ดังนั้นการที่บริษัทฯ จะนำแบรนด์ใดไปเปิดโครงการ หรือจะเปิดแบบมิกซ์ยูซ ทั้งศูนย์การค้า โรงแรม สำนักงาน และอื่นๆ จึงต้องขึ้นอยู่กับทำเลและศักยภาพของพื้นที่นั้นว่าเหมาะสมกับแบรนด์ใด พร้อมทั้งพิจารณากำลังซื้อผู้บริโภคในบริเวณนั้นเป็นหลักด้วย โดยมั่นใจว่าประเทศไทยมีประชากรมากกว่า 60-70 ล้านคน และยังมีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศอีกกว่า 20-30 ล้านคน จึงยังมีศักยภาพเพียงพอที่จะมีศูนย์การค้าได้อีกมาก
นายประเสริฐกล่าวด้วยว่า ในส่วนของ “แฟชั่น ไอส์แลนด์” มีปริมาณคนเข้าศูนย์ 7.5 หมื่นคนในวันธรรมดาและ 1 แสนคนในวันหยุด คิดเป็นสัดส่วนรายได้หลักมากกว่า 50% “เดอะ พรอมานาด” มีคนเข้าศูนย์ฯ 2.6 หมื่นคนในวันธรรมดาและเพิ่มเป็น 3.5 หมื่นคนในวันหยุด “เทอร์มินอล 21 อโศก” ปริมาณคนเข้าศูนย์ฯ 5.5 หมื่นคนในวันธรรมดาและ 5 หมื่นคนในวันหยุด “ไลฟ์ เซ็นเตอร์” ปริมาณคนเข้าศูนย์ฯ 2.1 หมื่นคนในวันธรรมดาและ 7 พันคนในวันหยุด โดยในปี 2558 บริษัทฯ มีรายได้รวมจากค่าเช่าพื้นที่ประมาณ 3.5 พันล้านบาท เติบโตจากปี 2557 ประมาณ 9% ตามเป้าหมาย ส่วนปี 2559 คาดว่าจะมีรายได้รวมเติบโต 5% จากการเพิ่มพื้นที่ค้าปลีกรวมที่นครราชสีมาประมาณ 4 แสนตารางเมตร
“เราลงทุนตามแผนโดยไม่ได้มีการชะลอแต่อย่างใดซึ่งถือเป็นไปตามปกติที่ใช้เวลาในการพัฒนาโครงการละ 2 ปี เพียงแต่อาจมีการปรับแผนบ้างเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์และปัจจัยต่างๆ ดังกรณีล่าสุดคือการพัฒนาโครงการที่พัทยาทั้งๆ ที่ไม่ได้มีแผนก่อนหน้านี้ แต่เนื่องจากเพิ่งได้ที่ดินทำเลดี ขณะที่ที่นครศรีธรรมราชเราก็เลื่อนออกไปก่อน แต่ก็ยังจะมีการพัฒนาอย่างแน่นอนเพราะมีพื้นที่อยู่แล้ว” นายประเสริฐกล่าว
สำหรับโครงการ “เทอร์มินอล 21 นครราชสีมา” มีมูลค่า 6 พันล้านบาท ก่อสร้างแล้ว 90% เตรียมเปิดบริการปลายปีนี้ ปัจจุบันมีผู้เช่าพื้นที่แล้ว 75% และมีผู้เช่าหลัก เช่น โรงภาพยนตร์เอสเอฟ ซีเนม่าซิตี้, ไอซ์สเก็ตเดอะริงค์, สวนสนุกแฟนเปกกา, สปอร์ตฮอลล์, ฟู้ดแลนด์ซูเปอร์มาร์เกต, โฮมโปรลีฟวิ่ง เป็นต้น และร้านค้าอื่นๆ กว่า 200 แบรนด์ รวม 400 ยูนิต ใช้งบประมาณตลาดในการปเดตัว 100 ล้านบาท โดยมีจุดเด่นอีกอย่างคือ หอคอยสูงเท่าตึก 35 ชั้น นอกจากนั้นยังมีการแตกไลน์ธุรกิจเป็นสเปเชียลตี้สโตร์ หรือเมกะสโตร์เฉพาะ ซึ่งถือเป็นการเริ่มกับโครงการ “เทอร์มินอล 21 นครราชสีมา” เป็นแห่งแรกคือ “เคลลี่เมกะสโตร์” (Kelly) เป็นโซนรองเท้าและกระเป๋าของสตรี และ Klein ซึ่งเป็นโซนเสื้อผ้าบุรุษ
บริษัทฯ มั่นใจว่าโครงการ “เทอร์มินอล 21 นครราชสีมา” จะประสบความสำเร็จ เพราะมีทั้งศักยภาพและความพร้อมอย่างมาก เนื่องจากเป็นหัวเมืองที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ มีจำนวนประชากรรวมสูง 2.6 ล้านคน เป็นอันดับสองรองจากกรุงเทพฯ มีจีดีพีสูงเป็นที่หนึ่งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มูลค่า 1.7 แสนล้านบาท ผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูงและมีไลฟ์สไตล์เหมือนคนกรุงเทพฯ ทั้งยังเป็นจังหวัดที่มีนักศึกษาถึง 5 หมื่นคน มากเป็นอันดับที่สามของภาคตะวันออกเฉียงเหนือรองจากขอนแก่นและมหาสารคาม อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวมากกว่า 5 ล้านคนต่อปี มากเป็นอันดับหนึ่งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตลอดจนเป็นพื้นที่ที่มีการพัฒนาระบบการคมนาคมขนส่งอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการเปิดเออีซี