“พาณิชย์” ปลื้มโครงการ YEN-D สำเร็จเกินคาด นักธุรกิจไทยจับคู่ทำธุรกิจกับเพื่อนบ้านได้แล้วมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท เตรียมสานต่อนำทัพนักธุรกิจไทยเยือนกัมพูชาเพิ่มมูลค่าการค้า เล็งเปิดตัวรุ่นที่ 2 ก.พ.นี้ หวังสร้างเครือข่ายธุรกิจไทยกับ CLMV ให้แน่นแฟ้นมากขึ้น
นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ จะนำคณะผู้ประกอบการไทยซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ จากโครงการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (YEN-D Program) รุ่นที่ 1 ซึ่งกรมฯ ได้ทำการฝึกอบรมและทำการเชื่อมโยงกับนักธุรกิจของประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว พม่า และเวียดนาม) ไปแล้วในปีที่ผ่านมา ออกไปสร้างความสัมพันธ์และขยายเครือข่ายทางการค้าให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ซึ่งได้เริ่มที่ สปป.ลาวไปแล้วในช่วงปลายปี และจะไปกัมพูชาในวันที่ 15-17 ม.ค. 2559 นี้
ทั้งนี้ ผลจากการจัดโครงการ YEN-D ได้ส่งผลให้เกิดการจับคู่ทางธุรกิจ มีมูลค่ารวมกว่า 500 ล้านบาท เพราะนักธุรกิจรุ่นใหม่ของไทยและเพื่อนบ้านที่กรมฯ ได้เชิญมาอบรมและทำกิจกรรมร่วมกัน ได้ทำความรู้จักและเป็นเพื่อนกัน ทำให้มีการตกลงทำธุรกิจร่วมกันในทันทีหลังจากอบรมเสร็จ และยังมีแผนที่จะขยายการทำธุรกิจร่วมกันเพิ่มมากขึ้นด้วย
“กรมฯ เชิญนักธุรกิจรุ่นใหม่อายุไม่เกิน 45 ปี ซึ่งเป็นทายาทธุรกิจของไทยและเพื่อนบ้าน มาอยู่ร่วมกัน โดยได้จัดไปแล้ว 4 รุ่น ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งแต่ละรุ่นมีคนมาอบรมรุ่นละ 60 คน ของไทย 30 เพื่อนบ้าน 30 พอมาอยู่ร่วมกัน ก็รู้จัก และตกลงทำธุรกิจกันทันที มีมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท และตอนนี้ กรมฯ จะขยายมูลค่าการค้าให้เพิ่มขึ้นไปกว่าเดิม จึงได้นำนักธุรกิจในโครงการ YEN-D ออกไปเดินสายพบปะกับนักธุรกิจเพื่อนบ้าน คาดว่าจะขยายการค้าได้เพิ่มขึ้นอีก” นายอดุลย์กล่าว
สำหรับโครงการ YEN-D รุ่นแรก ได้จัดจับคู่ธุรกิจของไทย-เวียดนาม ในกลุ่มสินค้าผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าและผิวตัว ขนมขบเคี้ยว วัสดุก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์รองเท้า ไทย-กัมพูชา กลุ่มการจ้างผลิต (OEM) สินค้าสเปรย์ปรับอากาศ ไทย-สปป.ลาว ธุรกิจความงาม นวัตกรรมการออกแบบการก่อสร้าง สินค้าอาหาร (เครื่องแกง) และไทย-พม่า เครื่องปรับอากาศและเครื่องทำน้ำร้อนประหยัดพลังงาน
นายอดุลย์กล่าวว่า กรมฯ มีแผนที่จะจัดโครงการ YEN-D รุ่นที่ 2 โดยกำหนดจะเปิดตัวโครงการประมาณต้นเดือน ก.พ. 2559 โดยมี 4 รุ่น ตามรายประเทศเหมือนเดิม คือ กัมพูชา สปป.ลาว พม่า และเวียดนาม และจะเพิ่มจำนวนผู้เข้ารับการอบรมเป็นรุ่นละ 80 คน แบ่งเป็นฝ่ายประเทศไทย 40 คน และประเทศเพื่อนบ้าน 40 คน โดยขยายรับข้าราชการรุ่นใหม่ทั้งของไทยและประเทศเพื่อนบ้านเข้าร่วมโครงการด้วย