xs
xsm
sm
md
lg

ปตท.สผ.ดอดคุย BG ซื้อแหล่งบงกช 22.22%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ปตท.สผ.จ่อซื้อหุ้นแหล่งบงกชจาก BG 22.22% คาดได้ข้อสรุปกลางปีนี้ เผยเตรียมปรับลดงบลงทุน 5 ปีจาก 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐเหลือเพียง 1.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เหตุราคาน้ำมันดิ่ง ทำให้ต้องชะลอการลงทุนโครงการที่มีความเสี่ยงสูงออกไป ด้านไทยออยล์วางงบลงทุน 5 ปีอยู่ที่ 4-5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนใหญ่ลงทุนในโครงการ CFP เพื่อเพิ่มกำลังการกลั่นน้ำมันจาก 2.75 เป็น 4 แสนบาร์เรล/วัน

   นายสมพร ว่องวุฒิพรชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ (PTTEP) เปิดเผยว่า บริษัทได้ยื่นขอซื้อหุ้นโครงการบงกชจาก British Gas (BG) ที่ถืออยู่ 22.22% มูลค่าประมาณ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในการซื้อหุ้นดังกล่าวครึ่งแรกปีนี้ หากการเจรจาซื้อหุ้นดังกล่าวประสบความสำเร็จ ทำให้ ปตท.สผ.ถือหุ้นในแหล่งบงกชเพิ่มขึ้นเป็น 66.66% และทำให้กำลังการผลิตปิโตรเลียมของบริษัทฯ เพิ่มสูงขึ้น

โดยก่อนหน้านี้ทางเชลล์ได้เข้าซื้อธุรกิจ BG เมื่อปี 2558 และมีแผนจะขายธุรกิจในเอเชียออกไป โดยจะขายหุ้นที่ถืออยู่ในแหล่งบงกช 22.22% ที่ระดับราคาเบื้องต้น 1.2 พันล้านเหรียญ เมื่อช่วงกันยายน 2558 แต่เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงมาตลอดจึงต้องมาดูมูลค่าทางบัญชีใหม่ (Book Value) และนโยบายของภาครัฐเกี่ยวกับสัมปทานปิโตรเลียมแหล่งบงกชที่จะสิ้นสุดลงในปี 2566 ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ซึ่งจะเป็นประเด็นหนึ่งในการเจรจากับทาง BG

นอกจากนี้ ปตท.สผ.ยังแสวงหาโอกาสในการซื้อแหล่งปิโตรเลียมอื่นๆ เพิ่มเติม โดยจะให้ความสำคัญต่อแหล่งปิโตรเลียมในภูมิภาคนี้ซึ่งได้มีการผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายการผลิตและจำหน่ายปิโตรเลียมไว้ใกล้เคียงปีที่แล้ว 3.3 แสนบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ/วัน ซึ่งยอมรับว่าราคาขายน้ำมันดิบเฉลี่ยปีนี้จะต่ำกว่าปีก่อนแน่นอน

นายสมพรกล่าวต่อไปว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาปรับลดงบลงทุน 5 ปีนี้ จากเดิมที่ลงทุนรวม 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เหลือเพียง 1.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แต่ทั้งนี้อาจจะมีการขยับเพิ่มการลงทุนได้หากราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น โดยในปีนี้วางงบลงทุนไว้ที่ 3.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงและผันผวน ทำให้บริษัทฯ ตัดสินใจชะลอการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงออกไปก่อน เช่น โครงการออยล์แซนด์ในแคนาดา โครงการ Cash /Maple ในออสเตรเลีย โครงการ M3 ในพม่า เป็นต้น แต่จะลงทุนในโครงการที่มีความเสี่ยงต่ำ เพื่อรักษาระดับการผลิตไม่ให้ต่ำกว่าปีก่อน

นายสมพรกล่าวต่อไปว่า ปีนี้บริษัทมีแผนลดต้นทุนการผลิตลง โดยทำให้ต้นทุนการดำเนินงาน (Operating Cost) ลดลงจาก 40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เหลือเพียง 38 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่ต้นทุนเงินสด (Cash Cost) ของแหล่งปิโตรเลียม ปตท.สผ.อยู่ที่ 18 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ดังนั้น เมื่อระดับราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 28 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล บริษัทฯ ดำเนินการผลิตปิโตรเลียมได้ปกติ

ด้านนายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) กล่าวถึงแผนการลงทุน 5 ปีนี้ (2559-2563) จะใช้เงินลงทุนประมาณ 4-5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนใหญ่ร้อยละ 80 จะใช้ในโครงการการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตน้ำมันเตาให้เป็นน้ำมันใส และการปรับปรุงหน่วยการกลั่นน้ำมันดิบเพิ่มกำลังการผลิต ภายใต้โครงการ Clean Fuel Project : CFP ที่จะใช้วงเงินลงทุนราว 3-4 พันล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะสรุปแผนลงทุนทั้งหมดในสิ้นปีนี้หากตัดสินใจลงทุนจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จใน 4 ปี ทำให้ไทยออยล์มีกำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้นจาก 2.75 แสนบาร์เรล/วัน เป็น 4 แสนบาร์เรล/วัน

โดยในปีนี้โรงงานผลิตสารลดแรงตึงผิว (LAB) กำลังผลิต 1 แสนตัน/ปี จะผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในเดือน ก.พ.นี้ ซึ่งปัจจุบัน LAB มีมาร์จิ้นดีมาก โดยส่วนต่างราคาสินค้าเทียบกับวัตถุดิบอยู่ที่ 500 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากปีก่อนอยู่ที่ 300 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนโครงการโรงไฟฟ้า SPP ขนาด 239 เมกะวัตต์จะเริ่มทยอยจ่ายไฟเข้าระบบ กฟผ.ได้ในปีนี้ 180 เมกะวัตต์ ที่เหลือป้อนใช้ภายในโรงงาน LAB
กำลังโหลดความคิดเห็น