หอการค้าไทยคาดส่งออกปี 59 โตได้แค่ 2% เหตุเศรษฐกิจจีนชะลอตัวเป็นตัวฉุดสำคัญ เพราะมีสัดส่วนต่อการส่งออกไทยสูงถึง 11% แม้ตลาดสหรัฐฯ CLMV และอินเดียจะฟื้นตัวดีขึ้นก็ตาม พร้อมแนะไทยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ยาง แก้ปัญหาราคาตกต่ำ
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ศูนย์ฯ ได้ประเมินการส่งออกของไทยในปี 2559 จะขยายตัวในกรอบ 0.1-4.1% มูลค่า 2.14-2.22 แสนล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีแนวโน้มที่จะขยายตัวในระดับ 2% มูลค่า 2.18 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะเป็นการส่งออกที่กลับมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 4 ปี หลังจากที่การส่งออกไทยติดลบต่อเนื่อง 3 ปี
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการส่งออกไทยที่จะขยายตัวได้ 2% มาจากการฟื้นตัวของตลาดสหรัฐฯ ที่จะช่วยผลักดันการส่งออกของไทย รวมถึงตลาดในกลุ่ม CLMV อินเดีย และรัสเซีย ที่จะมีการขยายตัวได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะต้องมีการจัดทำกลยุทธ์เพื่อเจาะตลาดเหล่านี้ให้มากขึ้น แต่ตลาดจีนจะเป็นตลาดที่ฉุดการส่งออกไทย จากการที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัว
“การส่งออกปี 2559 ที่จะโต 2% มีความเป็นไปได้ 60-70% แต่ต้องขึ้นกับปัจจัยเสี่ยง คือ เศรษฐกิจจีน เพราะมีสัดส่วนถึง 11% ของการส่งออกของไทยทั้งหมด หากจีดีพีจีนโตได้แค่ 6.3% ตามที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินไว้ จะกระทบต่อการส่งออกไทยไปจีนลดลง 1.1% แต่ส่งออกภาพรวมยังโตได้ 2% หากจีดีพีจีนโตเหลือแค่ 6% จะกระทบต่อการส่งออกลดลง 2.2% ทำให้ส่งออกภาพรวมลดลงเหลือ 0.4% แต่สุดท้าย หากจีดีพีจีนโตเกิน 6.3% ก็จะทำให้ส่งออกไทยโตได้เกิน 2% แต่ยอดทั้งปีการส่งออกไทยไปจีนยังจะติดลบต่อเนื่องเป็นปีที่ 3”
ส่วนปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ มาจากศักยภาพการแข่งขันด้านส่งออกของประเทศคู่แข่งเพิ่มขึ้น ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวลดลง สหภาพยุโรป (อียู) ให้ใบเหลืออุตสาหกรรมประมงไทย และความเสี่ยงจากการก่อการร้ายระหว่างประเทศ
สำหรับปัจจัยที่เป็นโอกาสต่อการส่งออกไทย เช่น เศรษฐกิจโลกมีทิศทางฟื้นตัว โดย IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกปี 2559 จะขยายตัว 3.6% เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่ขยายตัว 3.1% เงินบาทอ่อนค่าอยู่ที่ระดับ 37 บาทต่อเหรียญสหรัฐ โดยต้องติดตามการอ่อนค่าของสกุลเงินประเทศคู่แข่งด้วยว่าไทยอ่อนค่าใกล้เคียงกันหรือไม่ และราคาน้ำมันดิบตลาดโลกแม้จะทรงตัวต่ำในปัจจุบัน แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ทางด้านกลุ่มสินค้าที่คาดว่าการส่งออกจะขยายตัวได้เพิ่มขึ้น เช่น อาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์และปลา อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ และรถยนต์และส่วนประกอบ แต่สินค้าที่จะส่งออกได้ลดลง ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่เกี่ยวกับน้ำมัน ได้แก่ กลุ่มเคมีภัณฑ์ พลาสติก และยางพารา
นายอัทธ์กล่าวว่า สาเหตุที่ราคายางพาราตกต่ำ เป็นผลจากเศรษฐกิจจีนชะลอตัวเช่นกัน เนื่องจากจีนเป็นผู้นำเข้ายางรายใหญ่สุดของโลก มีการนำเข้าถึง 3.7 ล้านตันต่อปี โดยจีนนำเข้าจากไทยถึง 2 ล้านตัน แต่เป็นการนำเข้าสินค้าขั้นกลาง คือ ยางก้อนและยางแท่งจากไทย เมื่อเศรษฐกิจจีนตกต่ำ จึงทำให้ราคายางปรับตัวลดลงด้วย ประกอบกับทิศทางราคาน้ำมันดิบตลาดโลกลดลง ทำให้ราคายางลดลงตามไปอีก
“ไทยจำเป็นต้องปรับตัวด้วยการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ยาง หรือมีการส่งออกในขั้นปลายเหมือนกับมาเลเซียที่มีการส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ทำจากยางพาราไปตลาดจีนมากสุด และมีการเพิ่มกำลังการใช้ผลิตภัณฑ์ยางภายในประเทศเพิ่มขึ้น ส่วนการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ารัฐบาลมี 2 ทางเลือก คือ เพิ่มราคายางด้วยการแทรกแซง หรือลดต้นทุนการผลิตยางให้แก่เกษตรกร เพราะต้นทุนการผลิตยางปัจจุบันของไทยสูงเกินไปอยู่ที่ 64 บาทต่อกิโลกรัม (กก.)” นายอัทธ์กล่าว