ผู้จัดการรายวัน 360 - เศรษฐกิจฝืด รากหญ้านิ่ง “ไฮเออร์” มองเป็นโอกาส เร่งอัด 300 ล้านบาทเพิ่มสินค้าใหม่จับไฮเอนด์ เพิ่มกำลังการผลิตแอร์ ชูแอร์พาณิชย์ดันยอด หวังปี 59 โต 16% เท่าปีก่อนที่ปิดรายได้ไป 2,200 ล้านบาท
นายหยาง เสี้ยวหลิน ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัท ไฮเออร์ ประเทศไทย ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ไฮเออร์ เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในปี 2559 พร้อมใช้งบลงทุนอีกกว่า 300 ล้านบาท สำหรับ 1.เพิ่มไลน์สินค้าใหม่ๆ ที่มีฟังก์ชั่นการทำงานในกลุ่มพรีเมี่ยมมากขึ้น 2.เพิ่มกำลังการผลิตแอร์อีก 30% เน้นในกลุ่มแอร์พาณิชย์เป็นหลักให้ได้ 50,000 ชุด และแอร์บ้านเป็น 1.5 แสนเครื่อง นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการทำตลาดมากขึ้น ภายใต้งบการตลาด 5% ของยอดขาย เน้นช่องทางออนไลน์ จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและเติมช่องทางจำหน่ายให้มากขึ้น
ในแง่สินค้าปีนี้จะชูความเป็นพรีเมี่ยมมากขึ้น เช่น ตู้เย็นระบบอินเวอร์เตอร์และแบบไซด์บายไซด์ และเครื่องซักผ้าออโตเมติกฝากระจก ขนาด 8-16 กก. แอร์ซีรีส์ใหม่ VNQ และทีวีระบบแอนดรอยด์เชื่อมต่อแก็ดเจตต่างๆ ได้ สำหรับจับกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์มากขึ้น ส่งผลให้ไฮเออร์มีสินค้าที่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย
“สภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่ดี ไฮเออร์มองเป็นโอกาส แม้ว่ากำลังซื้อระดับล่างจะไม่มีเงินและเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก โดยปีนี้พร้อมนำเสนอสินค้าที่มีฟังก์ชันระดับพรีเมียมมากขึ้น รวมถึงรุกทำตลาดในกลุ่มองค์กรกับแอร์พาณิชย์ จึงน่าจะทำให้สิ้นปีนี้บริษัทจะมีรายได้เติบโต 16% เช่นปี 2558 ที่ผ่านมาที่ปิดรายได้ไป 2,200 ล้านบาทโดยรายได้หลักยังมาจากต่างจังหวัดเป็นหลัก จากปกติจะตั้งเป้าโต 20% แต่ยังถือเป็นการเติบโตที่มากกว่าตลาดรวมเครื่องใช้ไฟฟ้า 70,000 ล้านบาท”
อย่างไรก็ตาม สำหรับแอร์เชิงพาณิชย์ได้เริ่มทำตลาดตั้งแต่ปี 2558 ที่ผ่านมา ปีนี้เพิ่มกำลังผลิตเพื่อรุกตลาดต่างประเทศด้วย โดยได้เริ่มไปแล้วที่ลาวและพม่า ปีนี้จะเข้าไปเปิดตลาดในกัมพูชาและอินโดนีเซียเพิ่ม น่าจะทำให้ภาพรวมรายได้ส่งออกปีนี้โตอีก 10% คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 6,000 ล้านบาท ขณะที่ตลาดในประเทศ แอร์พาณิชย์มีสัดส่วนการขายเพียง 10% และแอร์บ้าน 90%
นายหยางกล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในปีนี้มองว่าจะยังคงแข่งขันรุนแรง ส่วนการเติบโตน่าจะเท่าปีก่อน ไฮเออร์พร้อมทำตลาดต่อเนื่อง สู่เป้าหมายใน 3-5 ปี กลุ่มสินค้าแอร์ ตู้เย็น และเครื่องซักผ้าจะอยู่ในระดับท็อปไฟว์ ขณะที่แชร์รวมปัจจุบัน อยู่ที่ 3-4% ของตลาด 70,000 ล้านบาทเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากผู้บริโภคไม่ค่อยให้การตอบรับในสินค้าแบรนด์จีน ขณะที่ปัจจุบันแบรนด์ไฮเออร์เทียบกับแบรนด์ญี่ปุ่นและเกาหลี ราคาจะถูกกว่าประมาณ 5% เท่านั้น
นายหยาง เสี้ยวหลิน ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัท ไฮเออร์ ประเทศไทย ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ไฮเออร์ เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในปี 2559 พร้อมใช้งบลงทุนอีกกว่า 300 ล้านบาท สำหรับ 1.เพิ่มไลน์สินค้าใหม่ๆ ที่มีฟังก์ชั่นการทำงานในกลุ่มพรีเมี่ยมมากขึ้น 2.เพิ่มกำลังการผลิตแอร์อีก 30% เน้นในกลุ่มแอร์พาณิชย์เป็นหลักให้ได้ 50,000 ชุด และแอร์บ้านเป็น 1.5 แสนเครื่อง นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการทำตลาดมากขึ้น ภายใต้งบการตลาด 5% ของยอดขาย เน้นช่องทางออนไลน์ จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและเติมช่องทางจำหน่ายให้มากขึ้น
ในแง่สินค้าปีนี้จะชูความเป็นพรีเมี่ยมมากขึ้น เช่น ตู้เย็นระบบอินเวอร์เตอร์และแบบไซด์บายไซด์ และเครื่องซักผ้าออโตเมติกฝากระจก ขนาด 8-16 กก. แอร์ซีรีส์ใหม่ VNQ และทีวีระบบแอนดรอยด์เชื่อมต่อแก็ดเจตต่างๆ ได้ สำหรับจับกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์มากขึ้น ส่งผลให้ไฮเออร์มีสินค้าที่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย
“สภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่ดี ไฮเออร์มองเป็นโอกาส แม้ว่ากำลังซื้อระดับล่างจะไม่มีเงินและเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก โดยปีนี้พร้อมนำเสนอสินค้าที่มีฟังก์ชันระดับพรีเมียมมากขึ้น รวมถึงรุกทำตลาดในกลุ่มองค์กรกับแอร์พาณิชย์ จึงน่าจะทำให้สิ้นปีนี้บริษัทจะมีรายได้เติบโต 16% เช่นปี 2558 ที่ผ่านมาที่ปิดรายได้ไป 2,200 ล้านบาทโดยรายได้หลักยังมาจากต่างจังหวัดเป็นหลัก จากปกติจะตั้งเป้าโต 20% แต่ยังถือเป็นการเติบโตที่มากกว่าตลาดรวมเครื่องใช้ไฟฟ้า 70,000 ล้านบาท”
อย่างไรก็ตาม สำหรับแอร์เชิงพาณิชย์ได้เริ่มทำตลาดตั้งแต่ปี 2558 ที่ผ่านมา ปีนี้เพิ่มกำลังผลิตเพื่อรุกตลาดต่างประเทศด้วย โดยได้เริ่มไปแล้วที่ลาวและพม่า ปีนี้จะเข้าไปเปิดตลาดในกัมพูชาและอินโดนีเซียเพิ่ม น่าจะทำให้ภาพรวมรายได้ส่งออกปีนี้โตอีก 10% คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 6,000 ล้านบาท ขณะที่ตลาดในประเทศ แอร์พาณิชย์มีสัดส่วนการขายเพียง 10% และแอร์บ้าน 90%
นายหยางกล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในปีนี้มองว่าจะยังคงแข่งขันรุนแรง ส่วนการเติบโตน่าจะเท่าปีก่อน ไฮเออร์พร้อมทำตลาดต่อเนื่อง สู่เป้าหมายใน 3-5 ปี กลุ่มสินค้าแอร์ ตู้เย็น และเครื่องซักผ้าจะอยู่ในระดับท็อปไฟว์ ขณะที่แชร์รวมปัจจุบัน อยู่ที่ 3-4% ของตลาด 70,000 ล้านบาทเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากผู้บริโภคไม่ค่อยให้การตอบรับในสินค้าแบรนด์จีน ขณะที่ปัจจุบันแบรนด์ไฮเออร์เทียบกับแบรนด์ญี่ปุ่นและเกาหลี ราคาจะถูกกว่าประมาณ 5% เท่านั้น