“กกพ.” มอบของขวัญคนไทยกดค่าไฟงวด ม.ค.-เม.ย. 59 ลดลง 1.57 สตางค์ต่อหน่วย ดึงเงินสารพัดมาช่วยโปะลดค่าไฟเพิ่มเติมจากที่ลดเพียง 0.84 สต.ต่อหน่วยเท่านั้น เผยปีหน้านโยบายจะดูแลค่าไฟไม่ให้ขึ้นหรือขึ้นจะให้น้อยสุด
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล กรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยหลังการประชุม กกพ.ว่า กกพ.ได้พิจารณาปรับลดค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) ที่จะเรียกเก็บในบิลค่าไฟประชาชนในงวด ม.ค.-เม.ย. 59 ในอัตรา 4.80 สตางค์ต่อหน่วย หรือลดลงจากงวดที่ผ่านมา (ก.ย.-ต.ค. 58) 1.57 สตางค์ต่อหน่วยส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่เรียกเก็บกับผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภท (รวมค่าไฟฐาน) จะอยู่ที่ 3.7076 บาทต่อหน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้ค่าไฟฟ้างวดนี้ลดลงได้แก่ ค่าเชื้อเพลิงโดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติอยู่ที่ 261.19 บาทต่อล้านบีทียู หรือลดลงจากงวดที่ผ่านมา 15.53 บาทต่อล้านบีทียู ดีเซล และถ่านหิน แต่ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง และความต้องการใช้ไฟเพิ่มขึ้นทำให้ต้นทุนผลิตไฟเพิ่ม แต่ กกพ.ได้นำเงินจากการคำนวณเอฟทีเดือน ก.ย.-ธ.ค. 58 ที่ยังเหลืออยู่สะสม (ค่าAF) จำนวน 2,019 ล้านบาท หรือคิดเป็นค่าเอฟทีที่ลดลง 3.61 สตางค์ต่อหน่วย และยังพิจารณานำเงินชดเชยส่วนลดค่าก๊าซฯของโรงไฟฟ้าขนอมเดือน ก.ค.57 - ส.ค. 58 จำนวน 269 ล้านบาท และเงินปรับลดแผนการลงทุนปี 2551-2553 ส่วนที่เหลือของ 3 การไฟฟ้าจำนวน 137.16 ล้านบาท รวมเป็น 406.18 ล้านบาท มาปรับลดค่าเอฟที 0.73 สตางค์ต่อหน่วย
อย่างไรก็ตาม จากการหารือของ กกพ.มีนโยบายที่จะพยายามกำกับดูแลค่าไฟฟ้าในปี 2559 ไม่ให้มีการปรับขึ้นหรือหากต้องขึ้นก็จะให้น้อยที่สุดโดยยอมรับว่าแม้ทิศทางราคาก๊าซธรรมชาติที่เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าจะลดลงต่อเนื่องเพราะสะท้อนจากราคาน้ำมันย้อนหลัง 6 เดือนแต่อัตราการลดลงก็จะไม่มากนัก โดยงวด พ.ค.-ส.ค. 59 ทาง บมจ.ปตท.แจ้งว่าราคาก๊าซจะลดลงเพียง 6 บาทต่อล้านบีทียูเท่านั้นขณะที่ปัจจัยอื่นๆ ที่น่ากังวลและต้องติดตาม คือ ค่าเงินบาท หากอ่อนค่าจะกระทบต้นทุนค่อนข้างมาก