“คปพ.” ยกระดับจัดตั้งมูลนิธิเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานและทรัพยากรไทย(SERF) เพื่อดำเนินงานเชิงรุกด้านปฏิรูปพลังงาน ระดมเงินช่วยเหลือคดีประชาชนหลังถูก ก.พลังงาน และ ปตท.ดาหน้าฟ้องหวังปิดปาก เตรียมฟ้องกลับตอบหวังพิสูจน์ความจริง พร้อมยื่นนายกฯ ปลดผู้บริหารกระทรวงพลังงาน และบอร์ด ปตท.โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ไม่ยึดแนวทางปรองดอง
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ แกนนำเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) เปิดเผยหลังการเปิดแถลงข่าว “ประเด็นร้อนพลังงานไทยและก้าวต่อไปของภาคประชาชน” เมื่อวันที่ 22 พ.ย.58ว่า เพื่อเป็นการยกระดับการทำหน้าที่ของภาคประชาชนให้มีประสิทธิภาพในด้านปฏิรูปพลังงานไทย คปพ.จึงจัดตั้งมูลนิธิเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานและทรัพยากรไทย (SERF) ให้เป็นองค์กรนิติบุคคล และเตรียมระดมทุนเพื่อนำเงินไปช่วยเหลือคดีความให้แก่ประชาชนที่ถูกหน่วยงานรัฐ และ บมจ.ปตท.โดยเฉพาะคนบางกลุ่มฟ้องร้องเพื่อปิดกั้นการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน พร้อมกับจะดำเนินการฟ้องกลับหน่วยงานดังกล่าวควบคู่ไปด้วย
“ประชาชนจำนวนมากออกมาเคลื่อนไหวด้านพลังงาน แต่ถูกรังแกจากการฟ้องร้องของหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะกลุ่มคนบางกลุ่มในกระทรวงพลังงาน และ บมจ.ปตท.เพื่อหวังจำกัดความเคลื่อนไหว เราเห็นความจำเป็นที่จะต้องไปช่วยเหลือในทางคดีความ การประกันตัว และฟ้องกลับทั้งกล่าวหาเท็จ หมิ่นประมาทตอบโต้เพื่อพิสูจน์ความจริง และเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์เราจึงเปิดบัญชีรับบริจาคเงินจากพี่น้องประชาชนเพื่อดำเนินการ และวางรากฐานในการต่อสู้เพื่อปฏิรูปพลังงานช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ซึ่งทุกท่านสามารถสนับสนุนก่อตั้งมูลนิธิ SERF ซึ่งแปลว่าข้าของแผ่นดินมา ได้โดยโอนเงินบัญชีไปยังบัญชีมาที่ ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี นายประการ ก่อเกียรติจรูญ และ น.ส.ณิชาภา พิศสุวรรณ ธ.กสิกรไทย สาขาอาคารซันทาวเวอร์ส เลขที่บัญชี 696-2-09141-3” นายปานเทพ กล่าว
ทั้งนี้ ครม.เมื่อ 21 ก.ค.58 ที่มอบหมายให้กระทรวงพลังงานทำความเข้าใจต่อทุกฝ่ายเกี่ยวกับประเด็นกฎหมายปิโตรเลียม ตลอดจนศึกษาข้อเรียกร้องของ คปพ. แต่กระทรวงพลังงานกลับไม่ส่งผู้แทนที่มีอำนาจมาหาทางออกร่วมกัน และไม่ตอบคำถามใดๆ ที่ทาง คปพ.โต้แย้งไปเลย แต่กลับไปดำเนินคดีฟ้องร้องแทน ดังนั้น จึงขอให้นายกรัฐมนตรีมีนโยบายเปลี่ยนแปลงผู้บริหารในกระทรวงพลังงาน และกรรมการ บมจ.ปตท.โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกกรรมที่ไม่นำไปสู่ความปรองดอง และเป็นปรปักษ์ต่อการตรวจสอบของประชาชน
ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี แกนนำ คปพ.กล่าวว่า ขณะนี้มีความพยายามที่จะเร่งรัดการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าหรือ PDP 2015 และเกี่ยวเนื่องต่อการเร่งรัดการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบ 21 หากพิจารณาข้อเท็จจริงจะพบว่า ปริมาณสำรองไฟฟ้าตลอดแผนนั้นสูงเกินกว่ามาตรฐาน 15% ปัญหาไฟฟ้าจะขาดแคลนเหมือนที่กระทรวงกล่าวอ้างหากไม่เร่งรัดโรงไฟฟ้าถ่านหินจึงไม่จริง ขณะเดียวกัน ท่ามกลางราคาน้ำมันตลาดโลกที่ยังคงเป็นขาลงเช่นปัจจุบัน การเปิดสัมปทานฯ ยิ่งไม่ทำให้เกิดการแข่งขัน ไม่ว่าจะใช้ระบบการเปิดสัมปทาน แบ่งปันผลผลิต (PSC) ก็ตาม ดังนั้น จึงควรแก้ไข พ.ร.บ.ปิโตรเลียม และ พ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียมเสียก่อน