ASTVผู้จัดการรายวัน - “เทสโก้โลตัส” ชูกลยุทธ์เฉือนพื้นที่สโตร์ ปล่อยให้รายใหญ่เช่าหารายได้ ปีนี้ทุ่ม 800 ล้าน ปรับเพิ่มพื้นที่อีก 7% เผย “ดีแคธลอน” กับ “จาโตมิ” 2 พันธมิตรยักษ์ต่างชาติผุดให้บริการแล้ว พร้อมซุ่มเจรจาอีก 5 รายใหญ่ ยันพื้นที่ขายลดไม่กระทบลูกค้า
นายแมทธิว สไควร์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาศูนย์การค้า “เทสโก้ โลตัส” บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด ผู้บริหารเครือข่ายค้าปลีก “เทสโก้ โลตัส” ในประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบัน “เทสโก้ โลตัส” อยู่ในอันดับที่ 2 ในแง่ของการบริหารพื้นที่ศูนย์การค้าในประเทศไทย รองจากกลุ่มเซ็นทรัล บริษัทฯ จึงมีนโยบายที่จะขยายธุรกิจบริหารพื้นที่ศูนย์การค้าให้มีพื้นที่เพิ่มขึ้น และมีรายได้มากขึ้นด้วย 2 กลยุทธ์หลัก คือ 1.การเพิ่มพื้นที่เช่าศูนย์การค้าด้วยการเปิดสโตร์ไฮเปอร์มาร์เกตสาขาใหม่ ซึ่งปีนี้มีพื้นที่เปิดใหม่คือ สมุทรปราการ สุรินทร์ และนครศรีธรรมราช เป็นต้น 2.การเพิ่มพื้นที่พลาซา หรือมอลล์ ด้วยการตัดพื้นที่ขายในสโตร์ออกไปส่วนหนึ่งเพื่อเปิดให้เป็นพื้นที่เช่า
รวมทั้งการเปิดหาพันธมิตรทั้งโลคอลแบรนด์ และอินเตอร์แบรนด์รายใหญ่เข้ามาใช้พื้นที่ดังกล่าวด้วย ซึ่งขณะนี้เริ่มแล้วกับ 2 รายใหญ่ต่างประเทศที่เข้ามาเปิดสาขาในไทยเป็นครั้งแรกคือ “ดีแคธลอน” ร้านอุปกรณ์กีฬารายใหญ่จากประเทศฝรั่งเศสที่มีมากกว่า 850 สาขา ใน 22 ประเทศทั่วโลก ซึ่งใช้พื้นที่ส่วนของศูนย์การค้าที่อยู่ในสโตร์เดิมที่เปิดบริการแล้ว 2 สาขา คือ บางนา-ตราด และพระรามสี่ พื้นที่เฉลี่ย 2.4 พันตารางเมตร และจะเปิดอีก 3 สาขาในปีนี้คือ หลักสี่, รัตนาธิเบศร์ และสุขาภิบาล 1
ส่วนอีกแบรนด์คือ “จาโตมิ ฟิตเนสคลับ” จากประเทศโปแลนด์ ที่มีมากกว่า 70 สาขาทั่วโลก และยังเป็นพันธมิตรในประเทศอื่นอีกด้วย เช่น ที่ฮังการี อิตาลี โปรตุเกส ตุรกี เป็นต้น โดยเปิดสาขาในไทยแห่งแรกที่พระรามสี่ พื้นที่ประมาณ 1.5 พันตารางเมตร และเป็นสาขาครบแห่งที่ 1 พันด้วย
ทั้งนี้ นโยบายดังกล่าวเริ่มเป็นทางการปีนี้ด้วยการลงทุนกว่า 800 ล้านบาทในการเพิ่มพื้นที่ทั้งในส่วนพลาซาเดิม และพื้นที่ในสโตร์หลักของ “เทสโก้ โลตัส” โดยดำเนินการไปแล้ว 16 สาขา เช่น บางนา-ตราด, พระรามสี่, หลักสี่, รัตนาธิเบศร์, สุขาภิบาล 1, เชียงใหม่, ขอนแก่น, สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช เป็นต้น ทำให้มีพื้นที่ศูนย์การค้าเพิ่มขึ้นกว่า 4.6 หมื่นตารางเมตร เพิ่มขึ้น 7% จากปีที่แล้ว ขณะที่ปีที่แล้ว 2557เติบโต 6% จากปีก่อนหน้า จากปัจจุบันที่มีพื้นที่ศูนย์การค้ารวม 7.31 แสนตารางเมตร จากทั้งหมด 1.8 พันสาขาทั่วประเทศ
“เทสโก้ โลตัส” ยังมีการร่วมมือกับ 2 พันแบรนด์ และมีมากกว่า 8.5 พันร้านค้าในทุกสาขา และคาดว่าในปีหน้าคงจะใช้งบในการปรับพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 800 ล้านบาท จำนวนสาขาประมาณ 15-20 สาขา แต่อย่างไรก็ตาม คงจะไม่สามารถปรับได้หมดครบทุกสาขา
“ธุรกิจศูนย์การค้าของเทสโก้ โลตัส เป็นหนึ่งในธุรกิจที่สำคัญ และสร้างรายได้ให้แก่ เทสโก้ เป็นจำนวนมาก เรามีประสบการณ์การบริหารพื้นที่มานานกว่า 21 ปี และขอยืนยันว่า การลดพื้นที่ของสโตร์ลงเพื่อให้ผู้อื่นมาเช่านั้นไม่กระทบต่อสินค้า และการบริการต่อลูกค้า เพราะเป็นแค่การลดพื้นที่เพื่อให้เล็ก และสะดวกมากขึ้น แต่สินค้าและบริการยังอยู่ครบเหมือนเดิม และมีเพิ่มด้วยเพียงแต่พื้นที่เล็กลงเท่านั้น โดยขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ที่จะเข้ามาเช่าพื้นที่รายใหญ่อีก 5 รายทั้งในไทย และต่างประเทศ ทั้งที่เอ็กซ์คลูซัฟ กับไม่เอ็กซ์คูลซีฟ”
นอกจากนั้น ยังมีร้านอินเตอร์แบรนด์ที่ยังไม่เคยเปิดที่เทสโก้ โลตัส เริ่มมีเข้ามาเปิดร้านค้าแล้ว เช่น ร้านกาแฟ “คอสต้า” ร้านเสื้อผ้า “เอราวอน” เป็นต้น ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วเน้น 3 บริการหลักคือ อาหาร (Food) 35% และที่เหลืออย่างละครึ่งคือ ความสนุก (Fun) และแฟชั่น (Fashion)
ขณะที่การเพิ่มพื้นที่ศูนย์การค้านั้นทำให้มีรายได้ต่อตารางเมตรสูงขึ้นจากการลดพื้นที่ขายเดิมหรือไม่นั้น นายแมทธิว ให้ความเห็นว่า คงไม่สามารถตอบได้ว่าอย่างไหนให้ผลตอบแทนที่มากกว่ากัน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งทำเล รวมถึงสินค้าและบริการ แต่ยืนยันว่า “เทสโก้ โลตัส” ปรับเพื่อพัฒนาสินค้า และบริการตอบสนองผู้บริโภคให้มากที่สุด อีกทั้งยังทำให้ได้ลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ เข้ามาใช้บริการด้วย