“ชัยวัฒน์” ชงบอร์ดบางจากฯ อนุมัติลงทุนซื้อหุ้น 30% ในโรงไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนใต้พิภพที่มาเลเซียที่มีกำลังผลิต 30 เมกะวัตต์ หวังเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าให้ครบ 300 เมกะวัตต์ในปีหน้าก่อนดันบริษัทลูก “BCPG” เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมทั้งแสวงหาโอกาสซื้อแหล่งปิโตรเลียมใหม่เพิ่มเติม ฉวยจังหวะราคาน้ำมันโลกดิ่ง เปิดตัวน้ำมัน E20 S มาตรฐานยูโร 5 เกรดพรีเมียม ให้ความแรง สะอาด แต่ราคาเท่าเดิม
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (BCP) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เพื่ออนุมัติการเข้าซื้อโรงไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนใต้พิภพที่ประเทศมาเลเซีย กำลังการผลิตประมาณ 30 เมกะวัตต์ โดยบางจากฯ จะถือหุ้นในโครงการดังกล่าว 30% หรือคิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 10 เมกะวัตต์ สอดคล้องกับนโยบายบริษัทที่ต้องการลงทุนธุรกิจไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนหลากรูปแบบ ซึ่งปัจจุบันบางจากมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์ฟาร์มอยู่แล้ว 118 เมกะวัตต์ โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตให้ครบ 200 เมกะวัตต์ในปลายปี 2558
ทั้งนี้ บางจากฯ ให้ความสนใจพลังงานความร้อนใต้พิภพเพื่อใช้ผลิตไฟฟ้าทั้งในประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งไฟฟ้าที่ผลิตพลังงานความร้อนใต้พิภพถือเป็นพลังงานสะอาด มีอัตราการปล่อยมลพิษต่ำ และต้นทุนค่าไฟฟ้าต่อหน่วยถูกกว่าก๊าซธรรมชาติด้วย โดยตั้งเป้าหมายภายใน 4-5 ปีข้างหน้าบางจากจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนประมาณ 500 เมกะวัตต์
นายชัยวัฒน์กล่าวถึงความคืบหน้าการนำบริษัท บีซีพีจี จำกัด เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า คงต้องรอการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 9 ต.ค.นี้ หลังจากนั้นจะดำเนินการปรับโครงสร้างธุรกิจไฟฟ้าโดยโอนธุรกิจผลิตไฟฟ้าทั้งหมดไปยังบริษัทบีซีพีจี ซึ่งปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 118 เมกะวัตต์ คาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายปีนี้ พร้อมกับวางเป้าหมายว่ามีกำลังการผลิตไฟฟ้าได้ 300 เมกะวัตต์ก่อนนำบีพีซีจีเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นที่คาดว่าจะเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO)สัดส่วน 30% ของทุนจดทะเบียนในปี 2559 หากภาวะตลาดหุ้นเอื้ออำนวย โดยขณะนี้ได้มีการตั้งที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อนำหุ้นเข้าจดทะเบียนเรียบร้อยแล้ว
ส่วนการรุกธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) นั้น ขณะนี้บริษัทฯ มีการเจรจากับเจ้าของแปลงปิโตรเลียมหลายรายในภูมิภาคนี้ โดยเน้นแปลงปิโตรเลียมที่มีการผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว ซึ่งเห็นว่าในช่วงภาวะราคาน้ำมันปรับตัวลงน่าจะเป็นโอกาสที่ดีในการซื้อกิจการดังกล่าว จากปัจจุบันเป็นการลงทุนผ่าน Nido Petroleum Limited (Nido) ซึ่งมีกำลังการผลิตปิโตรเลียมวันละ 6 พันบาร์เรล โดยบริษัทฯ มีเป้าหมาย 5 ปีจะมีปริมาณการผลิตปิโตรเลียมเพิ่มเป็น 2 หมื่นบาร์เรล/วัน หรือคิดเป็น 20% ของกำลังการกลั่นน้ำมันบางจาก
โดยตั้งงบลงทุนใน 5 ปีข้างหน้าจะใช้เงินประมาณ 2 หมื่นล้านบาทเพื่อลงทุนธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม โดยจะเน้นซื้อแปลงปิโตรเลียมที่มีการผลิตอยู่แล้วเป็นแปลงขนาดเล็กที่ผลิตน้ำมันดิบเบาที่มีราคาสูงกว่าน้ำมันดิบดูไบ โดยปัจจุบันต้นทุนการผลิตน้ำมันของ Nido อยู่ที่ 38 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลดลงจากต้นปีนี้ที่มีต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 48 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพราะมีการปรับลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายลงให้สอดคล้องกับทิศทางราคาน้ำมันโลก ทำให้ธุรกิจ E&P ยังคงมีกำไรอยู่แม้ว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะปรับตัวลงมาอยู่ระดับ 48 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลก็ตาม
“เนื่องจากแหล่งปิโตรเลียมใน Nido ได้มีการผลิตมา 3 ปีแล้ว จำเป็นต้องมีการลงทุนเจาะหลุมปิโตรเลียมเพิ่มเติมเพื่อรักษาระดับการผลิตไว้ ด้วยระดับราคาน้ำมันดิบโลกต่ำเช่นนี้ทำให้ไม่คุ้มที่จะลงทุนเจาะหลุมเพิ่มดังกล่าว หากไม่มีการเจาะหลุมใหม่เชื่อว่าปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในแหล่งดังกล่าวจะลดลงอย่างชัดเจนในปี 2562 และจะหมดลงในปี 2564 ดังนั้นบริษัทจึงมองหาโอกาสซื้อแหล่งปิโตรเลียมใหม่ด้วย”
นายชัยวัฒน์กล่าวถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2558 ว่า ในไตรมาสนี้บริษัทยังมีกำไรสุทธิแน่นอนแม้ว่าจะต่ำกว่าไตรมาส 2/2558 ที่มีกำไรสุทธิ 2.79 พันล้านบาท เนื่องจากมีโอกาสที่จะขาดทุนสต๊อกน้ำมัน และค่าการกลั่น (GRM) ปรับตัวลดลงจากไตรมาส 2/2558 ที่ระดับ 10.4 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลมาอยู่ระดับ 8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แม้ว่ากำลังการกลั่นน้ำมันในไตรมาสนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.15 แสนบาร์เรล/วันก็ตาม
วันนี้ (9 ก.ย.) บางจากฯ เปิดตัวผลิตภัณฑ์น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 S ใหม่ ที่มีความโดดเด่นทั้งความแรง ความสะอาด และรักษาสิ่งแวดล้อม โดยมีกำมะถันต่ำกว่า 10 PPM ได้ตามมาตรฐานยูโร 5 ผนวกกับสูตร S purifier ช่วยชะล้างทำความสะอาดเครื่องยนต์ ป้องกันหัวฉีดอุดตัน และ S Modifier สารลดแรงเสียดทานช่วยหล่อลื่นผนังกระบอกสูบ ช่วยเพิ่มกำลังเครื่องยนต์ ทำให้เป็นน้ำมันที่มีเกรดเทียบเท่าเกรดพรีเมียม แต่บางจากยังจำหนายน้ำมัน E20 S ในราคาเดิม
ในปีนี้คาดว่ายอดการขายน้ำมัน E20 ผ่านสถานีบริการน้ำมันทุกค่ายจะอยู่ที่ 1,412 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ที่อยู่ระดับ 82 ล้านลิตร และปี 2557 อยู่ที่ 1,276 ล้านลิตร หรือโตเฉลี่ยปีละ 62% ซึ่งปัจจุบันบางจากมีน้ำมัน E20 ขายผ่านสถานีบริการน้ำมันแล้วกว่า 700 แห่งทั่วประเทศ