ภาคเอกชนชี้ถึงเวลาต้องปฏิรูปเศรษฐกิจใหม่เพื่อแก้ไขปัญหาให้ไทยหลุดพ้นจากกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลาง หลังตลอดช่วง 5 ปีจีดีพีไทยโตต่ำ จากการด้อยประสิทธิภาพแม้ว่าพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังมีความแข็งแกร่งอยู่ ย้ำจำเป็นที่ถึงเวลาต้องปรับทัศนคติใหม่ ให้ความสำคัญด้าน R&D เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์ดันเศรษฐกิจไทยโตอย่างมั่นคง มั่นใจ 15 ปีไทยเข้าสู่ประเทศที่มีรายได้สูง แย้มรัฐเตรียมออกกฎหมายควบคุมการซื้อสื่อโฆษณาและประชาสัมพันธ์จากหน่วยงานรัฐ หลังถลุงปีละ 8 พันล้านเพื่อซื้อสื่อ
นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานสัมมนาวิชาการ “ศาสตราจารย์สังเวียนฟอรั่ม 2015” หัวข้อสัมมนา “ก้าวไปข้างหน้า...กับทิศทางเศรษฐกิจไทย” ว่า ตลอด 3 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำมาตลอด เป็นผลมาจากประสิทธิภาพการผลิตของประเทศไม่ได้เพิ่มขึ้นหรือเพิ่มขึ้นน้อยกว่าต้นทุนผลิต โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) และธนาคารแห่งประเทศไทยมีการคาดการณ์ว่าไทยเข้าสู่เศรษฐกิจโตต่ำ (New Normal) เพราะประเทศมีการใช้ทรัพยากร และแรงงานเต็มที่ รวมทั้งเข้าสู่สังคมสูงอายุ
แม้ว่าพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังมีความแข็งแกร่ง มีการกระจายตัวดีทั้งภาคอุตสาหกรรมและตลาด สถาบันการเงินเข้มแข็ง ภาคเอกชนมีงบดุลที่ดีและหนี้สินต่ำ ขณะที่ภาครัฐเองก็มีหนี้สาธารณะอยู่ 40 กว่าเปอร์เซ็นต์สามารถบริหารหนี้ได้ แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจไทยกลับต่ำมากเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจโลก
ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสังคมไทยเป็นระบบอุปถัมภ์ที่ยังต้องพึ่งพาภาครัฐ ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจในรอบ 10 ปีนี้มาจากภาครัฐ ซึ่งการทำประชานิยมที่สร้างความเสียหายมากในช่วงที่ผ่านมา เช่น โครงการรับจำนำข้าวที่ขาดทุนถึง 5.2 แสนล้านบาท ในช่วง 3 ปีคิดเป็น 5% ของจีดีพี โดยช่วงเวลา 3 ปีนั้นจีดีพีไทยโตรวม 9.5%
หากหักความเสียหายจากโครงการนี้เท่ากับเศรษฐกิจไทยโตแค่ปีละ 1.5% เท่านั้น
ดังนั้น หากต้องการให้เศรษฐกิจไทยโตในระดับ 5% จำเป็นต้องปฏิรูปเศรษฐกิจใหม่ (Reform) เพื่อให้ปัญหาต่างๆ ถูกแก้ไข และให้ตลาดทำงานได้สมบูรณ์เหมือนกับสิงคโปร์ โดยที่ผ่านมารัฐมีการขยายบทบาท ขนาด และอำนาจ ดังนั้น ทำอย่างไรจะลดบทบาทอำนาจรัฐลง เช่น การออก พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกในการอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 ทำให้อุดช่องโหว่และสร้างความโปร่งใส ทำให้มีต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำลง
นอกจากนี้ ยังต้องเร่งให้มีการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ โดย 10 ปีที่ผ่านมารัฐวิสาหกิจมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นจากเดิม 4 ล้านล้านบาทเพิ่มเป็น 12 ล้านล้านบาท แต่ไม่มีประสิทธิภาพ จะเห็นได้จากอัตราผลตอบแทนต่อทรัพย์สิน (ROA) ต่ำมากไม่ถึง 4% ดังนั้น การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจนั้นจะต้องเพิ่มประสิทธิภาพของบุคลากรให้มากขึ้น สร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน การดำเนินกิจการปราศจากทุจริต และลดการพึ่งพารัฐ
ส่วนปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยในการปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศนั้นจะต้องไม่มีการคอร์รัปชัน ซึ่งถือเป็นตัวถ่วงเศรษฐกิจของประเทศที่ต้องเร่งแก้ไข ดังนั้น รัฐบาลชุดนี้มีการตั้งคณะกรรมการต่อต้านการคอร์รัปชันแห่งชาติขึ้นมาเพื่อลดการใช้อำนาจรัฐและลดการใช้ดุลพินิจ ซึ่งเป็นตัวที่นำมาซึ่งการคอร์รัปชันได้ โดยใน 1-2 สัปดาห์นี้รัฐจะออกกฎหมายควบคุมการซื้อสื่อโฆษณาและประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานรัฐ ซึ่งแต่ละปีพบว่ารัฐใช้งบประมาณถึง 8 พันล้านบาทในการซื้อสื่อโดยไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการรั่วไหล
“ตัวอย่างที่ดีในการปฏิรูปเศรษฐกิจ คือ สิงคโปร์ ที่ใช้ระยะเวลา 50 ปีในการปฏิรูปเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศ จนเป็นประเทศชั้นนำของโลก และมีรายได้ประชากรต่อหัวสูงแซงอเมริกาแล้ว เพราะเขามีการปล่อยให้กลไกทุกอย่างเป็นไปตามกลไกตลาดมากที่สุด ภาครัฐเป็นคนวางกฎกติกา และเขาไม่รังเกียจต่างชาติ มีการเชื้อเชิญให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน ทำให้ประเทศพัฒนาขึ้นได้” นายบรรยงกล่าว
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การที่ประเทศไทยจะก้าวผ่านกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) จำเป็นที่ภาครัฐและเอกชนจะต้องให้ความสำคัญเรื่องการลงทุนวิจัยและพัฒนา (R&D) เพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่ไทยใช้งบ R&D เพียง 0.2% ของจีดีพี ต่างจากเกาหลีมีการใช้งบ R&D ถึง 3% ของจีดีพี ซึ่งภาครัฐเองก็มีความเข้าใจในเรื่องนี้ และตั้งเป้าหมายให้มีการลงทุนด้าน R&D เพิ่มขึ้นเป็น 1% ของจีดีพีภายในปี 2559 โดยรัฐจะคืนภาษีให้แก่ผู้ลงทุน R&D 300% เชื่อว่าถ้าทุกฝ่ายให้ความสำคัญในเรื่องนี้ ภายใน 15 ปีข้างหน้าไทยจะหลุดพ้นจากกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลางได้อย่างแน่นอน จากเดิมที่มีการคาดการณ์ว่าไทยจะหลุดพ้นในปี 2590
ทั้งนี้ บริษัทได้ให้ความสำคัญในเรื่อง R&D โดยปีนี้ตั้งงบประมาณ R&D ไว้ที่ 4.9 พันล้านบาท ปีหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 6.8 พันล้านบาท และปีถัดไปเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 8 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 1.5% ของยอดขาย
ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องลงทุนในเรื่อง R&D และเพิ่มนวัตกรรมต่างๆ เนื่องจากต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าประเทศอื่นๆ ในอาเซียน จะเห็นได้จากค่าไฟของไทยในภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ 3.4-3.5 บาท/หน่วย แต่เวียดนามและอินโดนีเซียค่าไฟอยู่ที่ 2 บาทเศษ/หน่วย และอีก 5 ปีข้างหน้าค่าไฟไทยจะเพิ่มขึ้นเป็น 5 บาทเศษ/หน่วย
เพราะมีการนำเข้าก๊าซ LNG จากต่างประเทศมาผลิตไฟฟ้าแทนก๊าซฯ ในอ่าวไทยที่ลดลง
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.) กล่าวว่า ปัจจุบันสังคมไทยมีค่านิยมที่เปลี่ยนไป จากเดิมที่เคยเห็นประโยชน์ส่วนรวมมาก่อนประโยชน์ส่วนตัว รวมทั้งสังคมที่แตกแยก ความเหลื่อมล้ำ ซึ่งเป็นตัวฉุดการพัฒนาขีดความสามารถของประเทศ ซึ่งการเติบโตของประเทศในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเราเติบโตช้ามาก จำเป็นต้องมีการหา S Curve ใหม่เพื่อให้ไทยเติบโตต่อไปได้
จึงได้มีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ 20 ปีเพื่อพัฒนา S Curve ใหม่ เพื่อให้ไทยก้าวสู่ประเทศที่มีรายได้สูง ลดความเหลื่อมล้ำ ก้าวสู่การเป็นสังคม Green ดูแลประชากรอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม และสร้างความมั่นคงของประเทศในด้านต่างๆ