xs
xsm
sm
md
lg

“สมคิด” สั่งการ “พาณิชย์” จัดทัพกู้เศรษฐกิจไทย เน้นดูแลค่าครองชีพ ช่วยเหลือเกษตรกร และผลักดันส่งออก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“สมคิด” มอบนโยบาย “พาณิชย์” เร่งจัดทัพกู้เศรษฐกิจไทย เน้นดูแลค่าครองชีพ ช่วยเหลือเกษตรกร และจัดลำดับตลาดส่งออกใหม่ เพิ่มคน เพิ่มตลาดเป้าหมาย พร้อมเร่งขยายการค้าภาคบริการเป็นตัวทำเงินเข้าประเทศ เผยนายกฯ ไฟเขียวภาคเอกชนเข้าหารือเพื่อร่วมแก้ไขปัญหาอุปสรรคส่งออก ย้ำการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นให้ท้องถิ่นเข้มแข็ง

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังมอบนโยบายการทำงานให้แก่ข้าราชการระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ โดยมีผู้แทนจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เข้าร่วมหารือ ว่า ได้นำข้อสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ฝากให้กระทรวงพาณิชย์นำไปปฏิบัติ เพื่อรองรับนโยบายใหม่ๆ ของรัฐบาลในการดูแลและผลักดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยภายใต้สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน โดยขอให้เริ่มการทำงานในทันที และให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จให้เห็นผลภายใน 3 เดือน

ทั้งนี้ ในเรื่องค่าครองชีพ ขอให้กระทรวงพาณิชย์ดูแลราคาสินค้า เพราะมีเสียงบ่นว่าราคาสินค้า โดยเฉพาะอาหารยังแพงอยู่ แม้ราคาน้ำมันดิบจะปรับลดลงไปมาก โดยขอให้จัดทีมหรือใช้เครือข่ายของพาณิชย์จังหวัดลงพื้นที่ไปสำรวจตรวจสอบสถานการณ์ราคาสินค้า หากพบว่ามีการฉวยโอกาสก็ให้ใช้กฎหมายจัดการขั้นเด็ดขาด ส่วนราคาสินค้าจะปรับลดลงมาได้มากน้อยแค่ไหน เชื่อว่ากระทรวงพาณิชย์มีการบริหารและดูแลต้นทุนสินค้าทุกรายการอยู่ จะดูแลราคาสินค้าให้เป็นธรรมได้

ขณะเดียวกัน ขอให้จัดทำตลาดกลางสินค้าและตลาดชุมชนเพื่อกระจายสินค้าไปยังท้องถิ่นให้ทั่วถึงมากขึ้น เพื่อให้เป็นกลไกบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนที่ต้องเผชิญกับปัญหาสินค้าราคาแพง แต่ยืนยันว่าจะไม่ใช่เป็นการเข้าไปแข่งขันกับร้านค้าของเอกชนที่มีอยู่เดิม เพียงแต่จะเป็นการจัดหาหรือช่วยกระจายสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพในบางรายการเพื่อให้ลงไปในภูมิภาคมากขึ้น

นายสมคิดกล่าวว่า ในเรื่องการดูแลราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าว ปาล์มน้ำมัน และยางพารา ขอให้ดูแลราคาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่ผิดธรรมชาติ โดยจะต้องมีการตั้งทีมลงไปตรวจสอบพื้นที่การเพาะปลูก ดูสถานการณ์ผลผลิต และกำหนดแนวทางในการดูแลเกษตรกรให้ขายสินค้าได้ในราคาที่คุ้มต้นทุน ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเพิ่มราคาเป็นเท่าไร แต่ต้องมีการบริหารจัดการให้เกษตรกรอยู่ได้และขายสินค้าได้ในราคาที่เหมาะสม

“สินค้าข้าว คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) กำลังจะพิจารณามาตรการดูแล สินค้าปาล์ม กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ ก็กำลังดูแลอยู่ ขณะที่ยางพาราต้องดูแลเป็นพิเศษ เพราะขณะนี้ราคาตกต่ำมากตามราคาน้ำมันดิบที่ลดลง ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ต้องร่วมมือกับเอกชนในการหาตลาดให้ได้เพิ่มขึ้น” นายสมคิดกล่าว

นายสมคิดกล่าวว่า เรื่องการส่งออก ยอมรับว่ากำลังเผชิญกับภาวะตลาดโลกไม่ดี ขอให้กระทรวงพาณิชย์จัดลำดับความสำคัญของกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพใหม่ และใช้วิธีเจาะลึกเข้าไปสร้างเครือข่ายและพัฒนาตลาดที่เป็นเป้าหมาย เพราะบางประเทศเป็นตลาดใหญ่ แต่กลับมีทูตพาณิชย์ดูแลเพียงคนเดียว จึงต้องจัดทัพใหม่และเสริมบุคลากรเข้าไป เช่น อาเซียน มีพม่าและลาวที่จะขยายตัวได้อีก ก็ต้องเพิ่มคนเข้าไปดูแล ไม่ใช่ให้รับผิดชอบเพียง 1-2 คน หรือตลาดจีน และญี่ปุ่น ที่มีความสำคัญกต่อไทย ก็ต้องจัดคนเข้าไปเพิ่ม รวมถึงต้องเพิ่มการเจรจาการค้ากับกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพให้มากขึ้น และต้องทำงานประสานกับกระทรวงการต่างประเทศให้เข้ามามีส่วนช่วยสนับสนุนในด้านเศรษฐกิจการค้า นอกเหนือจากการทำงานด้านการทูต

“การผลักดันการส่งออก คนที่เป็นแม่ทัพ คือ ภาคเอกชน กระทรวงพาณิชย์เป็นตัวเสริมที่จะช่วยแก้ไขปัญหาอุปสรรคให้เอกชน เพื่อให้เข้าไปบุกตลาดได้ง่ายขึ้น ซึ่งนายกฯ ให้ความสำคัญในเรื่องนี้มาก และขอให้ไปจัดพูดคุยเป็นกลุ่มอุตสาหกรรม และจากนั้นให้ไปพบนายกฯ เพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหาอุปสรรค ต่อไปหากตัวเลขส่งออกติดลบก็ต้องถามเอกชนว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หากมีปัญหาอุปสรรค และแก้ไขไม่ได้ ค่อยมาถามกระทรวงพาณิชย์ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร” นายสมคิดกล่าว

นอกจากนี้ ขอให้กระทรวงพาณิชย์ทำการส่งเสริมการค้าบริการ เพราะโครงสร้างการค้าของไทยไม่ใช่มีแค่ภาคการค้าสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีภาคการค้าบริการด้วย ซึ่งเป็นภาคที่มีศักยภาพและเติบโตได้เร็ว เช่น ท่องเที่ยว โรงแรม ภัตตาคาร ภาพยนตร์ และสถานพยาบาล เป็นต้น ซึ่งกลุ่มนี้ถือเป็นอนาคตของประเทศ ในขณะที่ภาคการค้าสินค้าเริ่มจะถดถอยเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง จึงต้องการให้กระทรวงพาณิชย์ผลักดันและส่งเสริมการค้าภาคบริการให้มากขึ้น และในการแถลงตัวเลขเศรษฐกิจ ขอให้มีการแถลงตัวเลขภาคการค้าบริการเข้าไปด้วยเพื่อให้รับรู้รายได้ของประเทศ

ขณะเดียวกัน ต้องเร่งส่งเสริมให้มีการทำธุรกิจการค้าผ่านระบบอี-คอมเมิร์ซให้มากขึ้น เพราะการค้าในยุคต่อไปคงไม่ใช่เน้นแค่การยกทีมไปโรดโชว์ในต่างประเทศแล้ว โดยกระทรวงพาณิชย์จะต้องร่วมมือกับภาคเอกชนและเป็นแกนนำหลักในการส่งเสริมให้มีการค้าขายผ่านระบบออนไลน์ และต้องส่งเสริมให้มีธุรกิจรายใหม่ๆ เข้าสู่การค้าขายผ่านระบบอี-คอมเมิร์ซให้ได้เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เป็นนักรบเศรษฐกิจใหม่

อย่างไรก็ตาม ในด้านการช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันให้ภาคเอกชนขอให้มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดทราบว่ากรมพัฒนาธุรกิจการค้า จะปรับปรุงการจดทะเบียนการค้าให้สามารถทำได้แล้วเสร็จภายใน 1 วัน ขณะที่กระทรวงการคลังจะพิจารณาเรื่องภาษีที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าและการลงทุน เพื่อที่จะออกมาตรการให้สอดประสานกันในการช่วยเหลือภาคเอกชนให้มีความเข้มแข็งและสามารถแข่งขันได้

นายสมคิดกล่าวว่า สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ เพราะรัฐบาลต้องการสร้างการเติบโตจากภายในประเทศ ซึ่งอดีตที่ผ่านมาจะเน้นการให้ความสำคัญต่อการส่งออก แต่จะเห็นว่าปัจจุบันเริ่มเกิดความไม่สมดุล โดยการพัฒนาประเทศจะต้องเน้นการสร้างความสมดุลทั้งในและต่างประเทศควบคู่กัน ดังนั้น จะต้องสร้างกระบวนการการค้าภายในประเทศให้เกิดความคึกคักและเข้มแข็งให้ได้ภายใน 5-10 ปีข้างหน้า

“เปรียบได้กับว่าขาขวาเราแข็งแรง แต่ขาซ้ายเป็นโปลีโอ คือท้องถิ่นไม่แข็งแรง การที่รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา เช่น กองทุนหมู่บ้าน จะช่วยให้ท้องถิ่นสามารถบริหารจัดการผลิต แปรรูป สินค้าชุมชน จัดหาตลาด และการพัฒนาระยะยาว ไม่ใช่การแจกเงินฟรี บริโภคแล้วก็หมดไป” นายสมคิดกล่าว

นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า จะนำข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีไปตีโจทย์ และจะจัดประชุมเวิร์กชอปร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแปลงออกมาเป็นภาคปฏิบัติ โดยจะเร่งแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่ได้รับมอบหมายเพื่อให้เกิดประสิทธิผลในระยะเวลา 3 เดือนตามที่กำหนด


กำลังโหลดความคิดเห็น