ASTVผู้จัดการรายวัน - สังเวียน “ทีวีดิจิตอล” พร้อมปล่อยหมัดเด็ดครึ่งปีหลัง คาดเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 1.6 พันล้านบาท ศึกนี้สู้ด้วย “ละครและกีฬา” คอนเทนต์ถูกจริตคนไทยมากสุด เสริมแกร่งด้วยดาราและการประชาสัมพันธ์ ชิงตำแหน่งอยู่รอดปลายปี พร้อมลุ้นเม็ดเงินโฆษณาในสื่อทีวีดิจิตอลแตะ 5 พันล้านบาท
ผ่านพ้นครึ่งปีแรกด้วยอาการ “ปาดเหงื่อ” กันเป็นแถวสำหรับอุตสาหกรรมทีวีดิจิตอลที่เดิมหลายฝ่ายประเมินกันไว้ว่าปีนี้จะเริ่มดีขึ้นก่อนเข้าสู่ช่วงการแข่งขันอย่างจริงจังเสียที แต่แล้วอุปสรรคต่างๆ ทั้งสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ความล่าช้าของภาคอินฟราสตรักเจอร์ของทีวีดิจิตอล รวมถึงการเข้าถึงทีวีดิจิตอลของผู้คน แต่สุดท้ายโฆษณาไม่เข้า กลายเป็น “ขวากหนาม” ทิ่มแทงให้ต้องดิ้นรน จนมีบางรายหมดแรงไม่พร้อมที่จะไปต่อ
แต่อย่างไรเสีย เสียงส่วนใหญ่ทั้งในส่วนของผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลและภาคธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องยังคงมองว่าครึ่งปีหลังนี้ทีวีดิจิตอลยังมีโอกาสสดใสอยู่มาก แม้ในท้ายที่สุดต้องลงเอยว่าจะเหลือตัวจริงอยู่ไม่กี่ช่องก็ตาม!
*** สะพัด 1.6 พันล้านบาท รับทีวีดิจิตอลครึ่งปีหลัง ***
นายเขมทัตต์ พลเดช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ช่อง PPTV ในฐานะอุปนายกสมาคมวิชาชีพวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ กล่าวถึงสถานการณ์ทีวีดิจิตอลครึ่งหลังปี 2558 ว่ามีแนวโน้มและความเป็นไปได้ที่จะเริ่มดีขึ้น หลังจากที่ได้จ่ายค่าสัญญางวดที่ 2 กันไปแล้ว ทำให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนเบาลง หลายๆ ช่องเริ่มมีการลงทุนด้านคอนเทนต์และเปิดตัวคอนเทนต์ใหม่ในครึ่งปีหลังมากขึ้น จึงมองว่าเม็ดเงินรวมในแง่การลงทุนคอนเทนต์ของทีวีดิจิตอลครึ่งปีหลังน่าจะไม่ต่ำกว่า 1.6 พันล้านบาท โดยเฉพาะช่องหลัก 4-5 ช่องยังใช้งบ 300-400 ล้านบาทต่อช่อง ดังนั้นช่องอื่นๆ ก็น่าจะใช้ประมาณ 100 ล้านบาทต่อช่อง หรือมากว่านั้นเช่นกัน
จากการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับทีวีดิจิตอลอย่างเห็นได้ชัด หลายช่องเริ่มปล่อยหมัดเด็ดส่งคอนเทนต์ใหม่ๆ ออกมากันแล้ว จากครึ่งปีแรกที่ดูสั่นคลอน แต่ในครึ่งปีหลังนี้ดูจะดุเดือดและน่าติดตามอย่างมาก สิ่งสำคัญที่สุดอาจจะไม่ใช่การลงทุนมากสุดจึงจะเป็นผู้ชนะ แต่ “คอนเทนต์ที่ถูกจริต” ผู้ชมคนไทยที่มาถูกที่ถูกเวลาดูจะเป็น “ใบเบิกทาง” ที่ส่งผลต่อตำแหน่งแชมป์ได้มากกว่า แล้วคอนเทนต์ประเภทใดที่มาวินที่สุดในเวลานี้
*** “กีฬา-ละคร” ของดีคนดูติดหนึบ ***
กระแสการตอบรับที่น่าจับตามองมากที่สุดในเวลานี้คงหนีไม่พ้น “ละคร” แต่ที่น่าจับตามองยิ่งกว่าได้เกิดขึ้นแล้วในช่องทีวีดิจิตอล อย่าง “ช่องจีเอ็มเอ็ม 25” และ “ช่องวัน” ของ “จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่” ไม่ว่าจะเป็น คลับฟรายเดย์ เดอะ ซีรีส์, ugly duckling รักนะเป็ดโง่, ร้อยเล่ห์เสน่ห์ร้าย รวมถึงละครรีเมกคือบัลลังก์เมฆ
นางสายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายธุรกิจ จีเอ็มเอ็ม แชนเนล ดิจิตอล ทีวี บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงงบประมาณในการลงทุนด้านคอนเทนต์ไว้ว่าทั้งปีอาจจะใช้งบลงทุนต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้จาก 1 พันล้านบาท โดยน่าจะใช้ในครึ่งปีหลังมากกว่า แบ่งออกเป็น ค่าผลิตคอนเทนต์ 700 ล้านบาท และอื่นๆ อีก 300 ล้านบาท โดยจะมีการปรับแผนการลงทุนตามแต่ละสถานการณ์
เช่นเดียวกับฝั่ง “อาร์เอส” กับ “ช่อง 8” ซึ่งเดิมมีฐานคอละครฮาร์ดคอร์ถูกใจคนดูระดับแมสอยู่แล้ว ครึ่งปีหลังนี้ยังพร้อมจัดเต็ม โดย นายองอาจ สิงห์ลำพอง กรรมการผู้อำนวยการสายงานสถานีโทรทัศน์ “ช่อง 8 ดิจิตอลทีวี” บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ พร้อมใช้งบอีกกว่า 500 ล้านบาทจากงบรวม 1.2 พันล้านบาทที่จะใช้ในปีนี้ แบ่งเป็น 100 ล้านบาทสำหรับเทคโนโลยีในการออกอากาศ และอีก 400 ล้านบาทสำหรับเพิ่มคอนเทนต์ละครอีก 10 เรื่อง รวมถึงจับมือในการจ้างผลิตรายการกับพาร์ตเนอร์รายใหญ่ อย่าง “เจเอสแอล” รวม 5 รายการ คือ วาไรตี 2 รายการ ซิตคอม 1 รายการ และละครอีก 2 เรื่อง ซึ่งเป็นรายการใหม่ทั้งหมด จะเริ่มเห็นในเดือน ส.ค.นี้เป็นต้นไป ขณะเดียวกันยังอยู่ในระหว่างการเจรจากับ “กันตนา” เพิ่มเติมอีกด้วย
ขณะเดียวกัน “ช่อง PPTV” ที่ออกตัวแรงมาเป็นอันดับต้นๆ หลังจากปล่อยซีรีส์เกาหลียึดฐานผู้ชมได้ในระดับหนึ่งแล้ว ครึ่งปีหลังนี้ยังจะเน้นละครเพิ่มด้วย โดยนายเขมทัตต์ พลเดช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด กล่าวว่า ในครึ่งปีหลังนี้พร้อมใช้งบอีกกว่า 500 ล้านบาทเน้นในส่วนของละครมากยิ่งขึ้นจากปัจจุบันมีอยู่ 1 เรื่องต่อสัปดาห์คือ “ปริศนา” พบว่าได้รับการตอบรับที่ดีมีเรตติ้งที่น่าสนใจ ส่งผลให้มีแผนที่จะเพิ่มจำนวนละครในแต่สัปดาห์มากขึ้น จึงพร้อมจับมือกับผู้จัดละครอีกกว่า 10 เรื่องในการที่จะผลิตละครป้อนให้ คาดว่าจะได้รับชมกันปีหน้าเป็นต้นไป
นอกจากละครแล้ว ยังพบว่า “กีฬา” เป็นอีกคอนเทนต์ที่จะช่วยต่อลมหายใจให้ทีวีดิจิตอลในครึ่งปีหลังได้เป็นอย่างดี ซึ่งมีหลายช่องกระโดดเข้ามาชิงพื้นที่กันหลายราย เช่น ช่อง PPTV คว้าสิทธิ์ร่วมถ่ายทอดสดฟุตบอลอังกฤษพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2558/2559 จำนวน 26 แมตช์ จากปกติช่อง 3 จะได้ไป ล่าสุดยังได้สิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลบุนเดสลีกา เยอรมนี ฤดูกาล 2015-2016 โดยการจับมือกับ บริษัท ฟ็อกซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล แชนแนล (ประเทศไทย) จำกัด ที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์บุนเดสลีกาในเอเชียเป็นเวลา 6 ปีตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นไป
ส่วน “ช่อง 3” ในแง่ของคอนเทนต์กีฬาจะถูกจัดทัพลงในช่อง 3SD เป็นหลัก โดย นายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี “ช่อง 3” และ “ช่อง 3SD” กล่าวว่า โพซิชันนิ่งของช่อง 3SD วางเป็นช่องทางเลือก ปีนี้จะเน้นนำเสนอคอนเทนต์ประเภทกีฬาที่ได้ซื้อลิขสิทธิ์ไว้ เช่น ฟุตบอลยูโรรอบคัดเลือก, การแข่งขันมอเตอร์ไซค์ระดับโลก MOTOR GP ซึ่งจะนำเสนอในช่วงเวลาไพรม์ไทม์ถือเป็นเวลาที่ดีและเริ่มเห็นโฆษณาเข้าบ้างแล้ว
รวมถึง “ช่องโมโน 29” เจ้าแห่งหนังและซีรีส์ก็ได้ร่วมวงกับเขาด้วย โดย นายนวมินทร์ ประสพเนตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท โมโน บรอดคาซท์ จำกัด ในเครือโมโนกรุ๊ป บริหาร “ช่องโมโน 29” กล่าวว่า ครึ่งปีหลังพร้อมใช้งบเพิ่มอีกกว่า 50 ล้านบาทนำเสนอคอนเทนต์กีฬาด้วยเช่นกัน เริ่มตั้งแต่เดือน มิ.ย. 59 เป็นต้นไป เช่น ศึกดวลหมัดนักชกไทยและต่างชาติสองแมตช์ใหญ่ระดับโลก “ศึกดวลกำปั้นชิงแชมป์โลก” และ “ศึกดวลกำปั้นสะท้านโลก” เป็นต้น
เช่นเดียวกับ อสมท โดย นายศิวะพร ชมสุวรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ครึ่งปีหลังพร้อมใช้งบลงทุนด้านคอนเทนต์ราว 300-400 ล้านบาท และมีการปรับผังใหม่ในช่วงไตรมาสสาม ล่าสุดยังได้จับมือกับ “ทรูวิชั่นส์” ร่วมถ่ายทอดสดฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก 17 แมตช์ด้วย
*** “ดารา-พีอาร์” แม่เหล็กยุคดิจิตอล ***
อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าคอนเทนต์ดีอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอที่จะดึงเรตติ้งได้ หรืออาจจะช่วยให้ผู้ชมติดอยู่ที่หน้าจอได้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น ส่วนสำคัญยังอยู่ที่ตัวแสดงด้วย เพราะถือเป็นแม่เหล็กชั้นดีและเร็วที่สุดที่จะทำให้ช่องนั้นอยู่ในกระแสและเป็นที่รู้จักมากขึ้น ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบของผู้เล่นรายเดิมที่มีดาราในสังกัดอยู่แล้ว ขณะที่ช่องเกิดใหม่ก็ต้องลุ้นว่าจะถูกหวยจากการครีเอทีฟคอนเทนต์นั้นๆ ว่าจะออกมาตรงใจผู้ชมได้มากน้อยแค่ไหน ที่สำคัญต้องมีการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ที่ดี โดยเฉพาะในยุคทีวีดิจิตอล การสื่อสารแบบไร้ขีดจำกัดคือเครื่องมือที่ดีที่สุดที่จะทำให้อุตสาหกรรมนี้อยู่รอด
*** “วาไรตี” รอดยาก / “เกมโชว์” มีแต้มต่อ ***
หากไม่กล่าวถึง 2 คอนเทนต์อย่าง “วาไรตี” และ “เกมโชว์” ดูจะเป็นการลำเอียงอย่างมาก โดยเฉพาะ “วาไรตี” ถือเป็นคอนเทนต์ที่มีความเสี่ยงสูงสุดว่าจะไปรอดหรือไม่ เพราะหลายๆ รายการเริ่มหายไปจากจอบ้างแล้ว ส่วนเกมโชว์ถ้าไม่เซียนจริงก็เอาอยู่ยาก ซึ่งในที่นี้ต้องยกไว้ “ช่องเวิร์คพ้อยท์ทีวี” และต้องจับตาดูว่าหลังดึงรายการ “ชิงร้อยชิงล้าน” มาอยู่ที่ “เวิร์คพ้อยท์ทีวี” แล้ว ผลจะออกหัวหรือก้อยมากกว่ากัน
*** ลุ้นเม็ดเงินโฆษณา 5 พันล้านบาท ***
แน่นอนว่าครึ่งปีหลังนี้ศึกทีวีดิจิตอลน่าดูมากกว่าทุกครั้ง คึกคักยิ่งกว่าครั้งไหน งานเข้าคนดูเต็มๆ จะดูอะไรกันดี ถ้ามีดีกันทุกช่องแบบนี้ เรตติ้งเริ่มมี กระแสเริ่มมา โฆษณาเริ่มเข้า อาจจะเป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์กันไว้ว่าถึงสิ้นปีจำนวนช่องทีวีดิจิตอลจะยังคงอยู่เท่ากับปัจจุบันที่ออกอากาศ
ส่วนเม็ดเงินโฆษณาในสื่อทีวีดิจิตอลน่าจะมีมูลค่าจริงที่ 5 พันล้านบาท จะทำได้หรือไม่? ต้องจับตาดูกันต่อไป!