จับตากลุ่มหาผลประโยชน์ประมูลรถไฟฟ้า เดินหน้าใช้สภาพัฒน์เป็นเครื่องมือ อ้างความโปร่งใสและการแข่งขันให้ประมูลรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายโดยไม่ต่อเนื่องกับสายสีน้ำเงินเดิม ประเคนผลประโยชน์กลุ่มการเมืองเก่า ไม่หวั่นประชาชนเดือดร้อนต้องเปลี่ยนรถที่สถานีขึ้นลง และเดินทางไม่สะดวก
หลังจากที่นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้แจ้งมติให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดประมูลคัดเลือกเอกชนเดินรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ซึ่งไม่ตรงกับมติของคระกรรมการมาตรา 13 พ.ร.บ.ร่วมลงทุน 2535 และความเห็นของ รฟม. และกระทรวงคมนาคม ที่เห็นควรให้เจรจาตรงกับบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL เพื่อให้บริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย โดยเดินรถแบบต่อเนื่อง (Through Operation) กับสายสีน้ำเงินเดิม (เฉลิมรัชมงคล) เพราะจะทำให้ประชาชนเดินทางได้โดยสะดวก ไม่ต้องเปลี่ยนรถที่สถานีหัวลำโพง และเตาปูน ทำให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด ประหยัดและสามารถเปิดให้บริการได้โดยเร็ว โดยเห็นควรให้ใช้รูปแบบ PPP Net Cost ในการเจรจา จึงให้ รฟม.เร่งสรุปข้อมูลเปรียบเทียบระหว่างการประมูลแบบเดินรถไม่ต่อเนื่องในรูปแบบ PPP Gross Cost ตามแนวทางที่ สศช.มีความเห็น กับการเจรจากับ BMCL เพื่อเดินรถต่อเนื่องในรูปแบบ PPP Net Cost ซึ่งต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ร่วมลงทุน 2556 เพื่อเสนอ ครม.พิจารณา และเมื่อวันที่ 4 ส.ค. 58 บอร์ด รฟม.ได้มีมติยืนยันการเดินรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายแบบต่อเนื่องตลอดทั้งสายเพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด โดยใช้รูปแบบ PPP Net Cost ซึ่งสามารถใช้วิธีเจรจาตรงกับ BMCL ได้ตาม พ.ร.บ.ร่วมลงทุน 2556 และจะเร่งจัดทำข้อมูลส่งให้แก่กระทวงคมนาคมโดยเร็ว
แหล่งข่าวระดับสูงจากกระทรวงคมนาคมเปิดเผยว่า การที่ สศช.มีความเห็นให้ประมูลเดินรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายแบบไม่ต่อเนื่องกับสายเดิม ถือเป็นการขัดนโยบายของกระทรวงคมนาคม และรัฐบาลอย่างชัดเจน เพราะที่ผ่านมากระทรวงคมนาคมได้ยืนยันนโยบายการเดินรถแบบต่อเนื่องเพื่อให้ประชาชนสามารถใช้บริการระบบรถไฟฟ้าได้โดยสะดวก ไม่ต้องเปลี่ยนรถไปมาหลายครั้ง ซึ่ง ครม.ได้มีมติรับทราบแนวทางดังกล่าวเมื่อวันที่ 3 มี.ค. 2558 และได้มอบหมายให้คณะกรรมการมาตรา 13 ไปพิจารณาดำเนินการ โดย สศช.เห็นว่าการเดินรถต่อเนื่องไม่มีความจำเป็นเพราะการเปลี่ยนขบวนรถ (เดินรถไม่ต่อเนื่อง) ถือเป็นเรื่องปกติ ความไม่สะดวกที่เกิดขึ้นแก่ประชาชนสามารถแก้ไขได้ทางเทคนิค การประมูลจะทำให้รัฐมีโอกาสพิจารณาข้อเสนออื่นๆ มากขึ้น
สำหรับความเห็นของ สศช.เป็นการเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง ขัดต่อหลักการของการขนส่งสาธารณะ (Public Transport) เพราะในการเดินทางโดยระบบรถไฟฟ้า การเปลี่ยนขบวนรถควรจะเกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนสายการเดินทางเท่านั้น เช่น สถานีสยามของ BTS เป็นการเปลี่ยนการเดินทางจากสายสุขุมวิทไปสู่สายสีลม แต่ไม่ใช่การเปลี่ยนขบวนรถเพื่อเดินทางในสายเดียวกัน โดยในกรณีสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายนี้จะเชื่อมต่อกับสายน้ำเงินเดิมเป็นลักษณะวงกลมเหมือนสาย Circle Line ในอังกฤษ และ Yamanote Line ในญี่ปุ่น จึงจำเป็นต้องเดินรถแบบต่อเนื่องเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน โดยประชาชนจำเป็นต้องเปลี่ยนรถที่สถานีท่าพระเท่านั้น เพราะมีการเปลี่ยนทิศทางการเดินรถและติดปัญหาการเวนคืน ส่วนสถานีอื่นสามารถเดินทางได้โดยต่อเนื่องทั้งหมด หาก รฟม.ต้องเดินรถแบบไม่ต่อเนื่องตามที่ สศช.ให้ความเห็น ประชาชนที่เดินทางต้องเปลี่ยนขบวนรถที่สถานีหัวลำโพง และเตาปูนโดยไม่จำเป็น ในกรณีสถานีเตาปูน ประชาชนต้องเปลี่ยนรถ เดินลงไปอีกชั้นเพื่อย้อนกลับมาที่ชานชาลาอีกด้านหนึ่งของชั้นเดิม โดยใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที และในกรณีสถานีหัวลำโพง ประชาชนต้องเปลี่ยนรถโดยเสียเวลาอีก 5-6 นาที ลองคิดดูหากประชาชนทั่วไปเดินจากสถานีสามย่านไปวัดมังกรเพียงแค่ 2 สถานี ควรใช้เวลาแค่ 3 นาที กลับต้องใช้เวลาเดินทางเป็น 10 นาที เพราะต้องไปเปลี่ยนรถที่หัวลำโพง เท่ากับทำให้ประชาชนเดือดร้อน ไม่สะดวกในการเดินทางอย่างไม่มีเหตุผล การกำหนดนโยบายแบบนี้กระทรวงคมนาคมและรัฐบาลคงรับไม่ได้ นอกจากนี้ ผู้ที่จะกำหนดนโยบายการเดินรถคือกระทรวงคมนาคมและรัฐบาล มิใช่ สศช.
เป็นที่น่าสังเกตว่า ที่ผ่านมา สศช.เห็นควรให้บริการระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนให้ประชาชนเดินทางได้อย่างต่อเนื่อง และให้พิจารณาความเหมาะสมในการเจรจากับ BMCL เพื่อให้ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์และมีประสิทธิภาพตามความเห็นของ สศช.เมื่อปี 2551 หรือแม้แต่ในกรณีสายสีเขียวของ BTS ซึ่งเดินรถเป็นเส้นตรงต่อขยายออกไปนอกเมือง กทม.ก็เจรจาให้ BTS เดินรถต่อเนื่องออกไป ทั้งที่เป็นสายเส้นตรง ไม่ได้เป็นวงกลมแบบสายสีน้ำเงินของ รฟม. แต่ สศช.กลับไม่เคยคัดค้านใดๆ แต่กับสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย สศช.กลับยืนยันให้ใช้วิธีการประมูลแบบเดินรถไม่ต่อเนื่อง
แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า การที่ สศช.มีความเห็นเช่นนี้น่าจะเกิดจากกลุ่มผลประโยชน์ที่ต้องการให้เกิดการประมูลโดยไม่แคร์ความเดือดร้อนของประชาชน เพราะหากมีนโยบายเดินรถไม่ต่อเนื่องแล้ว ส่วนต่อขยายที่เกิดขึ้นก็ไม่ต่อกับสายสีน้ำเงินเดิมทำให้เกิดการประมูลได้ และ รฟม.ก็ไม่จำเป็นต้องเจรจากับ BMCL โดยอ้างความโปร่งใส การแข่งขัน เครือข่ายนี้อาศัยผู้บริหารระดับสูงของ สศช. กระทรวงการคลัง และ รฟม.ที่มีภาพเป็นนักวิชาการ มีความรู้ โปร่งใสแต่แท้ที่จริงแล้วแฝงไปด้วยผลประโยชน์และเกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองเก่า แม้ว่ากระทรวงคมนาคมสามารถแก้ไขปัญหาในการคัดเลือกเอกชนในคณะกรรมการมาตรา 13 ได้ แต่สุดท้ายก็มาติดปัญหาที่ สศช.และกระทรวงการคลัง นับจากวันที่รัฐบาล คสช.เข้ามาบริหารจัดการและเร่งรัดแก้ปัญหาโครงการนี้กว่า 1 ปีก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ หากยังปล่อยไว้เช่นนี้ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายก็คงเป็นมหากาพย์ที่ไม่มีจุดจบต่อไป เมื่อสร้างสถานีเสร็จก็คงไม่มีรถมาวิ่ง เป็นสถานีร้างเป็นปี หรือหากรัฐบาลเดินหน้าประมูลแบบเดินรถไม่ต่อเนื่อง ประชาชนก็คงเป็นแพะรับบาป สังเวยผลประโยชน์ที่แก๊งนี้ต้องการ ซึ่งเกี่ยวโยงกับกลุ่มอำนาจการเมืองเก่ามาโดยตลอด