“พาณิชย์” ยอมรับสภาพ หดประมาณการเป้าส่งออกปีนี้เหลือติดลบ 3% เป็นการตั้งเป้าขยายตัวลดลงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เหตุเศรษฐกิจโลก คู่ค้า ราคาน้ำมัน และสินค้าเกษตรยังคงตกต่ำ เตรียมอัดกิจกรรมบุกเจาะตลาดในช่วงครึ่งปีหลังเต็มที่ หวังช่วยเพิ่มยอดส่งออกไทย
นายสมเกียรติ ตรีรัตนพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้พิจารณาปรับประมาณการการส่งออกสินค้าไทยในปี 2558 ใหม่เป็นขยายตัวติดลบ 3% โดยมีมูลค่า 220,698 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดจากเป้าเดิมที่ตั้งไว้ขยายตัว 1.2% มูลค่า 230,304 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบตลาดโลกอยู่ที่ 60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เงินบาทอยู่ที่ 35 บาทต่อเหรียญสหรัฐ และราคาสินค้าเกษตรยังไม่ปรับตัวดีขึ้น
ทั้งนี้ การปรับลดเป้าหมายการส่งออกดังกล่าวทำให้มูลค่าการส่งออกลดลงจากปีก่อน 6,826 ล้านเหรียญสหรัฐ จากปีก่อนที่มีมูลค่าส่งออกทั้งปีรวม 227,519 ล้านเหรียญสหรัฐ และน่าจะเป็นการตั้งเป้าประมาณการส่งออกติดลบเป็นครั้งแรกของไทย
อย่างไรก็ตาม การผลักดันให้การส่งออกทั้งปีขยายตัวติดลบ 3% มูลค่าการส่งออกในแต่ละเดือนจากนี้ไปต้องทำได้ประมาณเดือนละ 1.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แต่หากมากกว่านี้การส่งออกก็จะติดลบน้อยลง หรือหากน้อยกว่านี้ก็จะติดลบเพิ่มขึ้น แต่กระทรวงฯ เชื่อว่าตัวเลขที่ประเมินนี้น่าจะใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุดแล้ว
สำหรับปัจจัยที่ทำให้กระทรวงพาณิชย์ต้องปรับประมาณการเป้าหมายการส่งออกใหม่ เนื่องจากเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจคู่ค้าไม่ได้ฟื้นตัวเร็วอย่างที่คาดกันไว้ แม้จะมีสัญญาณดี ทั้งจากสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น แต่ก็ยังฟื้นตัวได้ช้า หลายๆ ประเทศมีการนำเข้าที่ลดลง และเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งโลก ราคาน้ำมันในช่วงครึ่งปีอยู่ที่เฉลี่ย 57 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงครึ่งหนึ่งจากปีก่อน คาดว่าจะยังคงทรงตัวในระดับนี้ไปจนถึงสิ้นปี
ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรก็ทรงตัวในระดับต่ำ แม้จะเริ่มกระเตื้องขึ้นบ้างในขณะนี้ โดยพบว่าข้าวลดลง 7% น้ำตาลลดลง 9% ยางพาราลดลง 19% ซึ่งจากการติดตามการส่งออกพบว่า ในแง่ปริมาณไทยไม่ได้ส่งออกลดลง แต่ลดลงในแง่มูลค่า ซึ่งเป็นไปตามทิศทางตลาดโลก
นอกจากนี้ การส่งออกรถยนต์ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 11% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด มีการส่งออกได้ลดลงจากการปรับเปลี่ยนรุ่นของการผลิต โดยเฉพาะรถกระบะ ทำให้มูลค่าการส่งออกหดหายไป และคาดว่าน่าจะกลับมาได้ภายใน 2-3 เดือนข้างหน้า
นายสมเกียรติกล่าวว่า พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนผลักดันการส่งออกที่กำหนดไว้ เพื่อผลักดันยอดการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังให้กลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยจะเน้นการออกไปทำตลาดต่างประเทศมากขึ้นเพื่อขายสินค้าไทย เน้นตลาดสหรัฐฯ ยุโรป เอเชีย และเร็วๆ นี้จะมีการเดินทางไปยังปากีสถาน และจีน เพื่อเจรจาขยายการค้าและผลักดันการส่งออกสินค้าไทย
“จะเน้นการบุกเจาะตลาดเป็นรายประเทศ เน้นเจาะตลาดเฉพาะส่วน อย่างจีนก็จะเน้นไปยังเมืองรอง เมืองเล็ก นอกเหนือจากเมืองหลัก เพราะมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก หรือบางประเทศก็จะเน้นการเจรจา FTA เพราะแม้จะไม่ส่งผลในทันที แต่เมื่อมีการเริ่มต้นก็จะทำให้ภาคธุรกิจเริ่มมองหาลู่ทางในการทำการค้าระหว่างกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการส่งออก” นายสมเกียรติกล่าว
นายสมเกียรติกล่าวว่า สำหรับเงินบาทที่อ่อนค่าลงมาอยู่ในระดับ 35 บาทต่อเหรียญสหรัฐมีผลดีต่อการส่งออกแน่นอน แต่ไม่ได้เกิดขึ้นในทันที เพราะเริ่มอ่อนลงมาเรื่อยๆ จากระดับ 33 บาท เรื่อยมาจน 35 บาท โดยคาดว่าเงินบาทจากนี้ไปเฉลี่ยน่าจะอยู่ประมาณที่ 35 บาทต่อเหรียญสหรัฐ และจะทำให้สินค้าไทยแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้ดีขึ้น
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า แม้ค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 35 บาทต่อเหรียญสหรัฐ แต่ไม่ได้มีผลให้การส่งออกสินค้าเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการส่งออกขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว เศรษฐกิจจีน ญี่ปุ่น และยุโรปยังไม่ฟื้นตัว ราคาน้ำมันที่ยังมีแนวโน้มปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ดังนั้น เงินบาทที่อ่อนค่าลง 3-4% ในขณะนี้จึงไม่มีผล เพราะเป็นการอ่อนค่าลงในช่วงสั้นในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งผู้ส่งออกมีออเดอร์ล่วงหน้าแล้ว