เวทีการประชุมก๊าซฯโลก 2015 (World Gas Conference 2015 )ระหว่างวันที่ 1-5 มิถุนายน 2558 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ถือเป็นการประชุมทางวิชาการและแสดงนิทรรศการที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติระดับสากลที่จัดขึ้นทุกๆ 3ปี โดยสมาพันธ์ก๊าซระหว่างประเทศ (IGU)
ในการเสวนาทางวิชาการครั้งนี้ บริษัทยักษ์ฬหญ่ของโลก ชูก๊าซธรรมชาติเป็นเสาหลักของพลังงานในอนาคต มีการหยิบยกเรื่องคาร์บอน ไพร์ซมาพูดคุย เพื่อให้เกิดการบังคับใช้หวังแก้ปัญหาโลกร้อน และยังเป็นการกระตุ้นการใช้ก๊าซฯเพิ่มมากขึ้นด้วย เนื่องจากก๊าซธรรมชาติถือเป็นเชื้อเพลิงที่ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะดังกล่าวเมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงอย่างถ่านหิน โดยระบุว่าปริมาณสำรองก๊าซฯของโลกเพิ่มขึ้นมากหลังจากมีการค้นพบเทคโนโลยีนำShale Gas ขึ้นมาใช้ ทำให้อีก15-20 ปีข้างหน้า ความต้องการใช้ก๊าซฯจะเพิ่มขึ้นเท่าตัว รวมทั้งมีการขนส่งก๊าซฯในรูปของเหลว ทำให้การขนส่งได้จำนวนมากและไกลยิ่งขึ้น
พร้อมทั้งเรียกร้องให้ยุโรปหันมาใช้ก๊าซเพิ่มมากขึ้น จากช่วง 2-3ปีที่ผ่านมา ยุโรปมีการใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น สืบเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยุโรปที่ยังไม่ฟื้นตัว และถ่านหินราคาถูกลงมาก ซึ่งเป็นผลพวงจากการนำ Shale Gas/Shale Oil มาใช้ ทำให้ราคาก๊าซฯในสหรัฐฯต่ำมาก
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท.ดำเนินธุรกิจก๊าซฯมานาน 30 กว่าปีและถือเป็นผู้ผลิต ผู้นำเข้าและจำหน่ายก๊าซฯรายใหญ่ในภูมิภาคอาเซียน คิดเป็นปริมาณ 5 พันล้านลบ.ฟุต/วัน หรือคิดเป็นปริมาณก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) 35 ล้านตัน ขณะที่ญี่ปุ่นมีการนำเข้าแอลเอ็นจี 90 ล้านตัน ดังนั้นไทยจึงป็นผู้เล่นในตลาดก๊าซฯรายใหญ่ของโลก
การเปิดบูธโชว์นวัตกรรมของกลุ่มปตท.ภายในงานการประชุมก๊าซฯโลกครั้งนี้ ปตท.ได้มีการพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้บริหาร ผู้ค้าบริษัทพลังงานชั้นนำจากทั่วโลก ทำให้รับรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ รวมทั้งเห็นแนวโน้มทิศทางราคาแอลเอ็นจีในอนาคต รวมทั้งเจรจาขยายความร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ เนื่องจากความต้องการใช้พลังงานในไทยเติบโตเพิ่มสูงขึ้นตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่การสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศมีจำกัด นับวันจะลดน้อยถอยลงหากแปลงสัมปทานปิโตรเลียมที่จะครบกำหนดในปี 2565-2566 ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไร ก็สุ่มเสี่ยงที่ปริมาณก๊าซฯจะหายไป 2.2 พันล้านลบ.ฟุต/วัน และการจัดหาก๊าซฯจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาร์นั้น โอกาสที่จะจัดหาเพิ่มเติมทำได้ยากขึ้น เนื่องจากเมียนมาร์เองก็ต้องการเก็บก๊าซฯไว้ใช้ภายในประเทศเองด้วย
ในฐานะที่ปตท.เป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติมีภาระกิจสำคัญต้องสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน การมองไปข้างหน้าเพื่อให้ประเทศมีพลังงานใช้ ไม่ขาดแคลน จำเป็นต้องวางแผนรับมือไว้ล่วงหน้า จึงเป็นที่มาในการเสนอแผนการลงทุนของกลุ่มปตท.วงเงิน 2.08แสนล้านบาท ได้แก่ โครงข่ายระบบท่อส่งก๊าซฯ เงินลงทุน 1.43 แสนล้านบาท โครงการท่อส่งก๊าซบนบกเส้นที่ 5 จากระยองไปไทรน้อย โรงไฟฟ้าพระนครเหนือและใต้ รวมถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรองรับการจัดหา นำเข้าแอลเอ็นจี เงินลงทุน 6.5หมื่นล้านบาท ได้แก่ LNG Receiving Terminal แห่งใหม่จ.ระยอง ขนาด 5 ล้านตัน และ FSRU ในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย อ.จะนะ จ.สงขลา ขนาด 3 ล้านตัน
ที่ผ่านมา ไทยเดินมาถูกทางที่ผลักดันการก๊าซฯในการผลิตไฟฟ้า และภาคขนส่ง แต่มีจุดพลาดเดียวคือ ปริมาณก๊าซฯในอ่าวไทยไม่เพียงพอ จึงต้องจัดหาจากต่างประเทศเข้ามา ปตท.มีการสร้างLNG Receiving Terminal เฟสแรก 5 ล้านตัน และเฟส 2 อีก 5 ล้านตันซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ส่วนเฟส 3 ก็จะสร้างในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง โดยจะต้องขออนุมัติจากภาครัฐก่อน รวมทั้งมีแผนจะลงทุนFSRU ขนาด 3 ล้านตันที่เมียนมาร์ ซึ่งจะเป็นคลังแอลเอ็นจีลอยน้ำ สร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับพื้นที่ภาคตะวันตกของไทย
ด้านนายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ บมจ. ปตท. กล่าวว่าปตท.เตรียมเสนอคณะกรรมการบริษัทฯในเดือนมิ.ย.นี้ เพื่อพิจารณาแผนจัดซื้อแอลเอ็นจีสัญญาระยะกลาง 2 ราย จำนวนรวม 1.5-2 ล้านตัน/ปี คาดว่าจะเริ่มทยอยรับแอลเอ็นจีใน1-2 ปีข้างหน้า หากบอร์ดฯอนุมัติก็จะเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)เพี่ออนุมัติต่อไป
ก่อนหน้านี้ ปตท.ได้ทำสัญญาซื้อขายแอลเอ็นจีระยะยาวกับการ์ตาจำนวน 2 ล้านตัน/ปี โดยทยอยรับแอลเอ็นจีเป็นปีนี้เป็นปีแรก
สำหรับการจัดการประชุมก๊าซฯโลกในครั้งหน้าที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกานั้น ปตท.มีไอเดียที่จะนำร้านคาเฟ่ อเมซอน มาอยู่ในบูธ ปตท. ด้วย เพื่อสร้างสีสรร รวมทั้งจะมีการแสดงนวัตกรรมความก้าวหน้าในการดำเนินธุรกิจของกลุ่มปตท.ด้วย
ในการเสวนาทางวิชาการครั้งนี้ บริษัทยักษ์ฬหญ่ของโลก ชูก๊าซธรรมชาติเป็นเสาหลักของพลังงานในอนาคต มีการหยิบยกเรื่องคาร์บอน ไพร์ซมาพูดคุย เพื่อให้เกิดการบังคับใช้หวังแก้ปัญหาโลกร้อน และยังเป็นการกระตุ้นการใช้ก๊าซฯเพิ่มมากขึ้นด้วย เนื่องจากก๊าซธรรมชาติถือเป็นเชื้อเพลิงที่ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะดังกล่าวเมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงอย่างถ่านหิน โดยระบุว่าปริมาณสำรองก๊าซฯของโลกเพิ่มขึ้นมากหลังจากมีการค้นพบเทคโนโลยีนำShale Gas ขึ้นมาใช้ ทำให้อีก15-20 ปีข้างหน้า ความต้องการใช้ก๊าซฯจะเพิ่มขึ้นเท่าตัว รวมทั้งมีการขนส่งก๊าซฯในรูปของเหลว ทำให้การขนส่งได้จำนวนมากและไกลยิ่งขึ้น
พร้อมทั้งเรียกร้องให้ยุโรปหันมาใช้ก๊าซเพิ่มมากขึ้น จากช่วง 2-3ปีที่ผ่านมา ยุโรปมีการใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น สืบเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยุโรปที่ยังไม่ฟื้นตัว และถ่านหินราคาถูกลงมาก ซึ่งเป็นผลพวงจากการนำ Shale Gas/Shale Oil มาใช้ ทำให้ราคาก๊าซฯในสหรัฐฯต่ำมาก
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท.ดำเนินธุรกิจก๊าซฯมานาน 30 กว่าปีและถือเป็นผู้ผลิต ผู้นำเข้าและจำหน่ายก๊าซฯรายใหญ่ในภูมิภาคอาเซียน คิดเป็นปริมาณ 5 พันล้านลบ.ฟุต/วัน หรือคิดเป็นปริมาณก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) 35 ล้านตัน ขณะที่ญี่ปุ่นมีการนำเข้าแอลเอ็นจี 90 ล้านตัน ดังนั้นไทยจึงป็นผู้เล่นในตลาดก๊าซฯรายใหญ่ของโลก
การเปิดบูธโชว์นวัตกรรมของกลุ่มปตท.ภายในงานการประชุมก๊าซฯโลกครั้งนี้ ปตท.ได้มีการพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้บริหาร ผู้ค้าบริษัทพลังงานชั้นนำจากทั่วโลก ทำให้รับรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ รวมทั้งเห็นแนวโน้มทิศทางราคาแอลเอ็นจีในอนาคต รวมทั้งเจรจาขยายความร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ เนื่องจากความต้องการใช้พลังงานในไทยเติบโตเพิ่มสูงขึ้นตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่การสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศมีจำกัด นับวันจะลดน้อยถอยลงหากแปลงสัมปทานปิโตรเลียมที่จะครบกำหนดในปี 2565-2566 ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไร ก็สุ่มเสี่ยงที่ปริมาณก๊าซฯจะหายไป 2.2 พันล้านลบ.ฟุต/วัน และการจัดหาก๊าซฯจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาร์นั้น โอกาสที่จะจัดหาเพิ่มเติมทำได้ยากขึ้น เนื่องจากเมียนมาร์เองก็ต้องการเก็บก๊าซฯไว้ใช้ภายในประเทศเองด้วย
ในฐานะที่ปตท.เป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติมีภาระกิจสำคัญต้องสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน การมองไปข้างหน้าเพื่อให้ประเทศมีพลังงานใช้ ไม่ขาดแคลน จำเป็นต้องวางแผนรับมือไว้ล่วงหน้า จึงเป็นที่มาในการเสนอแผนการลงทุนของกลุ่มปตท.วงเงิน 2.08แสนล้านบาท ได้แก่ โครงข่ายระบบท่อส่งก๊าซฯ เงินลงทุน 1.43 แสนล้านบาท โครงการท่อส่งก๊าซบนบกเส้นที่ 5 จากระยองไปไทรน้อย โรงไฟฟ้าพระนครเหนือและใต้ รวมถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรองรับการจัดหา นำเข้าแอลเอ็นจี เงินลงทุน 6.5หมื่นล้านบาท ได้แก่ LNG Receiving Terminal แห่งใหม่จ.ระยอง ขนาด 5 ล้านตัน และ FSRU ในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย อ.จะนะ จ.สงขลา ขนาด 3 ล้านตัน
ที่ผ่านมา ไทยเดินมาถูกทางที่ผลักดันการก๊าซฯในการผลิตไฟฟ้า และภาคขนส่ง แต่มีจุดพลาดเดียวคือ ปริมาณก๊าซฯในอ่าวไทยไม่เพียงพอ จึงต้องจัดหาจากต่างประเทศเข้ามา ปตท.มีการสร้างLNG Receiving Terminal เฟสแรก 5 ล้านตัน และเฟส 2 อีก 5 ล้านตันซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ส่วนเฟส 3 ก็จะสร้างในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง โดยจะต้องขออนุมัติจากภาครัฐก่อน รวมทั้งมีแผนจะลงทุนFSRU ขนาด 3 ล้านตันที่เมียนมาร์ ซึ่งจะเป็นคลังแอลเอ็นจีลอยน้ำ สร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับพื้นที่ภาคตะวันตกของไทย
ด้านนายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ บมจ. ปตท. กล่าวว่าปตท.เตรียมเสนอคณะกรรมการบริษัทฯในเดือนมิ.ย.นี้ เพื่อพิจารณาแผนจัดซื้อแอลเอ็นจีสัญญาระยะกลาง 2 ราย จำนวนรวม 1.5-2 ล้านตัน/ปี คาดว่าจะเริ่มทยอยรับแอลเอ็นจีใน1-2 ปีข้างหน้า หากบอร์ดฯอนุมัติก็จะเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)เพี่ออนุมัติต่อไป
ก่อนหน้านี้ ปตท.ได้ทำสัญญาซื้อขายแอลเอ็นจีระยะยาวกับการ์ตาจำนวน 2 ล้านตัน/ปี โดยทยอยรับแอลเอ็นจีเป็นปีนี้เป็นปีแรก
สำหรับการจัดการประชุมก๊าซฯโลกในครั้งหน้าที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกานั้น ปตท.มีไอเดียที่จะนำร้านคาเฟ่ อเมซอน มาอยู่ในบูธ ปตท. ด้วย เพื่อสร้างสีสรร รวมทั้งจะมีการแสดงนวัตกรรมความก้าวหน้าในการดำเนินธุรกิจของกลุ่มปตท.ด้วย