เอดีบี พบ”อาคม” ยืนยันพร้อมหนุนเงินกู้ มอเตอร์เวย์ 2 สาย วงเงิน 1.4 แสนล. และขยายเงินกู้ให้กรมทางหลวง ขยาย 4 เลน แนวแนวตะวันออก-ตะวันตก (แม่สอด-มุกดาหาร) ส่วนที่เหลืออีก 9 พันล.
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 29 พ.ค. ผู้แทนธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) เข้าพบ โดยเอดีบีต้องการขยายความช่วยเหลือด้านเงินกู้สำหรับการถนน 4 ช่องจราจรของกรมทางหลวง (ทล.) แนวตะวันออก-ตะวันตก หรือ East-West Corridor จะเชื่อมจากด่านแม่สอด จ.ตากไปยัง จ.มุกดาหาร ซึ่งก่อนหน้านี้ เอดีบีให้เงินกู้ก่อสร้างช่วงพิษณุโลก- หล่มสัก ระยะทางประมาณ 105 กม. ซึ่งจะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนก.ย.2558 ส่วนจากหล่มสัก-มุกดาหาร อยู่ระหว่างการพิจารณาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA ) ช่วง คอนสาร-อุทยานแห่งชาติ น้ำหนาว ระยะทาง 92 กม.วงเงินประมาณ 7,000 ล้านบาทจะใช้เงินกู้จากเอดีบีตามเงื่อนไขเดิมดำเนินการขยาย 4 ช่องจราจร โดยขณะนี้กรมทางหลวง ได้ส่งรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมไปแล้วและเริ่มการแก้ไขแบบ คาดว่าจะได้รับอนุมัติ EIA ภายในปีนี้ และสามารถดำเนินการก่อสร้างได้ทันที
ส่วนอีกช่วงที่ยังขาดอยู่ คือ จาก กาฬสินธุ์ –มุกดาหาร (บ.นาไคร้ – อ.คำชะอี ) ระยะทาง 35 กม. วงเงินประมาณ 2,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการศึกษาความเหมาะสมและทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เนื่องจากตัดผ่านพื้นที่ลุ่มน้ำ ซึ่งเอดีบียืนยันจะให้เงินกู้ต่อเนื่อง
นอกจากนี้ เอดีบีได้แสดงความสนใจในการให้เงินกู้สำหรับก่อสร้างโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ระยะทาง 196 กิโลเมตร วงเงิน 84,600 ล้านบาท และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี ระยะทาง 96 กิโลเมตร วงเงิน 55,600 ล้านบาท ซึ่งจะต้องไปหารือกับกระทรวงการคลังเนื่องจากจะต้องเปรียบเทียบข้อเสนอทางการเงินกับแหล่งเงินกู้ภายในประเทศ เพื่อเลือกแหล่งเงินที่มีความเหมาะสมที่สุด ซึ่งการก่อสร้างถนนส่วนใหญ่ จะใช้แหล่งเงินกู้ภายในประเทศ หรือ งบประมาณ โดยเงินกู้นั้นสามารถเสนอรูปแบบได้หลากหลาย เช่นกู้ครั้งเดียวทั้งโครงการ หรือ ตกลงกู้โดยแบ่งเป็นตอนๆ คือ เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ 1 ตอน จึงจะกู้สำหรับตอนต่อไป เป็นต้น ขณะที่งบประมาณจะมีประเด็นที่จะได้รับจัดสรรแต่ละปีไม่มาก ทำให้ก่อสร้างได้ปีละไม่กี่กิโลเมตร
อย่างไรก็ตามกระทรวงคมนาคมได้เสนอเรื่องลงทุนมอเตอร์เวย์ 2 สายไปที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว และทางคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (บอร์ดสภาพัฒน์ฯ) ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบไปแล้ว รอความเห็นจากกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมก็เข้าวาระครม.ได้
