เอเอฟพี – รัฐบาลญี่ปุ่นยืนยันวันนี้(31 มี.ค.) ว่ายังไม่มีแผนสมัครเป็นสมาชิกก่อตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย หรือ “เอไอไอบี” หลังมีรายงานข่าวว่าเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำกรุงปักกิ่งได้พูดว่าโตเกียวตัดสินใจจะล่มหัวจมท้ายกับธนาคารที่จีนเป็นโต้โผใหญ่แล้ว
ก่อนหน้านี้ มีรายงานจากหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์สว่า มาซาโตะ คิเตระ ทูตญี่ปุ่นประจำกรุงปักกิ่ง ได้ให้สัมภาษณ์ว่าญี่ปุ่นมีแนวโน้มจะเข้าเป็นสมาชิก เอไอไอบี ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งจะทำให้สหรัฐฯ จะกลายเป็นชาติใหญ่หนึ่งเดียวในโลกที่หันหลังให้กับ เอไอไอบี
โยชิฮิเดะ สุกะ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น ออกมายืนยันล่าสุดวันนี้ (31)ว่า ทูตญี่ปุ่นไม่เคยพูดเช่นนั้น และโตเกียวก็ยังไม่เปลี่ยนจุดยืนที่มีต่อเอไอไอบี
“ผมได้รับการยืนยันแล้วว่า กระแสข่าวที่ว่าทูต คิเตระ ได้ทำนายว่าญี่ปุ่นจะเข้าร่วม เอไอไอบี ไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย” สุกะ แถลงต่อสื่อมวลชน
รายงานดังกล่าวถูกตีแผ่ก่อนถึงกำหนดเส้นตาย 31 มี.ค. ที่จีนกำหนดไว้สำหรับประเทศใดก็ตามที่ต้องการสมัครเป็น “สมาชิกก่อตั้ง” ของธนาคารแห่งนี้
ออสเตรเลีย, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, รัสเซีย และเกาหลีใต้ ล้วนประกาศเจตจำนงที่จะเข้าร่วมกับธนาคารซึ่งมีทุนจดทะเบียน 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แห่งนี้ มีเพียงสหรัฐฯและญี่ปุ่นที่ยังคงท่าทีลังเลสงสัย
แม้แต่ไต้หวันซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับจีนมานานก็ได้ประกาศจะสมัครเข้าร่วม เอไอไอบี อย่างเป็นทางการวานนี้ (30)
“ญี่ปุ่นยังไม่มั่นใจว่า (เอไอไอบี) จะมีการบริหารจัดการที่เหมาะสม และจะก่อความเสียหายต่อสถาบันปล่อยกู้อื่นๆ หรือไม่” สุกะ กล่าว โดยมีนัยยะถึงธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ที่ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ เป็นหัวเรือใหญ่ และกำลังจะถูกเอไอไอบีก้าวเข้ามาเป็นคู่แข่งสำคัญในอนาคต
“อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ที่ญี่ปุ่นจะเข้าร่วมด้วยในเวลานี้” โฆษกรัฐบาลญี่ปุ่นยืนยัน พร้อมระบุว่าโตเกียวจะปรึกษาหารือวอชิงตันและประเทศอื่นๆ เพื่อขอข้อมูลที่กระจ่างจากจีน
สหรัฐฯ พยายามเตือนชาติพันธมิตรว่า เอไอไอบี อาจจะกลายเป็นเพียงเครื่องมือของปักกิ่งที่ด้อยมาตรฐานทั้งในด้านธรรมาภิบาล, สิ่งแวดล้อม และประเด็นสังคมอื่นๆ แต่จุดยืนเช่นนี้ก็ดูเหมือนจะยิ่งทำให้วอชิงตันถูกโดดเดี่ยว
เอไอไอบี น่าจะได้รับทุนตั้งต้นก้อนใหญ่จากจีน ซึ่งเมื่อรวมกับเงินบริจาคสมทบจากชาติสมาชิกอื่นๆ ก็จะทำให้สถาบันการเงินแห่งนี้มีทุนสูงกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ