“ไฮเออร์” รุกขยายการลงทุนในไทยกว่า 400 ล้านบาท ชี้ศักยภาพและทำเลเยี่ยม พร้อมเปิดศูนย์ฝึกอบรมด้านเทคนิคสำหรับเครื่องปรับอากาศระดับภูมิภาค เร่งสร้างฐานผลิต-ส่งออก หวังดันยอดขายภูมิภาคอาเซียนเติบโต 2 เท่าภายใน 5 ปี
นายโยชิอากิ อิโตะ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไฮเออร์ เอเชีย จำกัด กล่าวว่า ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพและโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจ มีความหลากหลายและครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนา การผลิตสินค้า การจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน บริษัทฯ จึงให้ความสำคัญต่อการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องและพร้อมที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการขยายธุรกิจ B2B และ B2G ของภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะในตลาดกัมพูชา ลาว และพม่า ทั้งนี้ ไฮเออร์และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้ลงนามในสัญญาความร่วมมือในโครงการแรกไปแล้วเมื่อตุลาคม 2557 ที่ผ่านมา
“ไฮเออร์” วางกลยุทธ์หลักในการดำเนินธุรกิจที่จะสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับกลยุทธ์การพัฒนา 5 ขั้นตอนคือ กลยุทธ์การสร้างแบรนด์, กลยุทธ์การพัฒนาและขยายธุรกิจ, กลยุทธ์การเข้าสู่กระแสโลกาภิวัตน์, กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ระดับโลก และกลยุทธ์การสร้างเครือข่าย ทำให้ปัจจุบันกลุ่มบริษัทไฮเออร์มีศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D) 8 แห่ง นิคมอุตสาหกรรม 16 แห่ง โรงงานผลิต 29 แห่ง บริษัทจำหน่ายสินค้า 64 แห่ง เครือข่ายร้านค้า 58,800 แห่ง และพนักงานกว่า 70,000 คนทั่วทุกมุมโลก
ทางด้าน นายหยาง เสี้ยวหลิน ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทไฮเออร์ ประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่ส บริษัทฯ ได้ลงทุน 400 ล้านบาทสร้างศูนย์ฝึกอบรมด้านเทคนิคสำหรับเครื่องปรับอากาศระดับภูมิภาค นับเป็นศูนย์แรกในอาเซียน โดยตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี
พื้นที่ดังกล่าวยังเป็นโรงงานผลิตตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ และตู้แช่สำหรับจัดจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ทั้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ กัมพูชา ลาว พม่า รวมถึง ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย กลุ่มประเทศยุโรป และอเมริกาใต้ โดยคาดว่าจะสามารถทำให้ธุรกิจตลาดภาพรวมเติบโตในภูมิภาคอาเซียนได้ 2 เท่าภายใน 5 ปี จากปัจจุบันที่มียอดขายจากภูมิภาคนี้อยู่ประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐได้อย่างแน่นอน
สำหรับเป้าหมายของการจัดตั้งศูนย์ฯ ดังกล่าวเพื่อให้สอดคล้องกับการขยายการลงทุนของบริษัทในกลุ่มประเทศภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งถือเป็นตลาดสำคัญของบริษัท อีกทั้งยังเป็นการบุกตลาดในกลุ่มสินค้าเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ในภูมิภาคมากขึ้น โดยมองว่าประเทศที่มีศักยภาพคือ พม่า ลาว และกัมพูชา เพราะเป็นประเทศที่กำลังเปิดและมีการก่อสร้างอาคารสำนักงานต่างๆ