“คมนาคม-สนข.” ทำ Action Plan โครงสร้างพื้นฐานเชื่อมด่านคลองลึกและจุดผ่านแดนแห่งใหม่ ที่บ้านป่าไร่ อ.อรัญประเทศ หนุนเขตเศรษฐกิจพิเศษ จ.สระแก้ว ผุดโครงข่ายใน 3 ปี พร้อมนิคมอุตฯ แยกคนและสินค้า บูมระเบียงเศรษฐกิจด้านใต้ รับเปิด AEC เชื่อมสระแก้ว-กัมพูชา ทะลุเวียดนาม
นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า การพัฒนาการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมขนส่งกับประเทศเพื่อนบ้านในเส้นทางแนวระเบียงเศรษฐกิจด้านใต้ เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องเน้นการเชื่อมต่อ หรือ connectivity โดยด่านคลองลึกเป็นด่านพรมแดนที่สำคัญของเส้นทางจากอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ของไทย-เมืองปอยเปต ราชอาณาจักรกัมพูชา-สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เนื่องจากอัตราการเติบโตของปริมาณสินค้าและคนที่ผ่านเข้าออกเพิ่มสูงขึ้นมาก ซึ่งในส่วนของไทยนั้นรัฐบาลได้กำหนดให้ จ.สระแก้วเป็นหนึ่งในพื้นที่จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งหลังจากลงพื้นที่ตรวจสอบพบว่าด่านคลองลึกมีความแออัดมาก สภาพจราจรติดขัดยาว 3 กม. ดังนั้นจึงจะมีการจัดสร้างจุดผ่านแดนแห่งใหม่ ที่บ้านป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เพื่อแยกคน และสินค้าออกจากกัน โดยเตรียมพื้นที่สำหรับก่อสร้างด่านใหม่ประมาณ 500 ไร่ พื้นที่นิคมอุตสาหกรรม 1,600 ไร่ ซึ่งจะอยู่ตรงข้าม-บ้านโอเนียง นิคมอุตสาหกรรมปอยเปต ของกัมพูชา อยู่ห่างจากด่านคลองลึกประมาณ 10 กม. เชื่อมกันโดยถนนศรีเพ็ญ (ถนนความมั่นคง)
โดยเป้าหมายจุดผ่านแดนบ้านป่าไร่จะสามารถก่อสร้างได้เร็ว คาดว่าด่านพร้อมโครงข่ายจะแล้วเสร็จประมาณ 3 ปี ซึ่งกระทรวงคมนาคมและสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) จะทำแผนโครงสร้างพื้นฐานภาพรวมเชื่อมเข้าสู่ด่านเสนอที่ประชุมคณะอนุกรรมการด้านโครงสร้างพื้นฐานและด้านศุลกากร เพื่อทำแผนปฏิบัติ (Action Plan) ในการประชุมวันที่ 18 พ.ค. และนำเสนอคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในวันที่ 21 พ.ค. ต่อไป
โดยการพัฒนาโครงข่ายเชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษสระแก้วของกรมทางหลวงชนบท (ทช.) มี 3 เส้นทาง ประกอบด้วย 1. โครงการก่อสร้างถนนอ้อมเมืองอรัญประเทศด้านทิศใต้ สายแยก 33-ด่านผ่านแดนบ้านคลองลึก ระยะทาง 15.425 กม. ค่าก่อสร้าง 935 ล้านบาท ค่าเวนคืน 230 ล้านบาท 2. โครงการก่อสร้างทางต่างระดับบนถนนสายแยก 33-อรัญประเทศ วงเงินประมาณ 1,000 ล้านบาท 3. โครงการก่อสร้างถนนสายแยก 348-บ้านไร่ อรัญประเทศ ระยะทาง 12.5 กม. ทช.ได้ศึกษาไว้เมื่อปี 51 โดยจะเสนอ กนพ.ของบกลางปี 58 ประมาณ 50 ล้านบาทเพื่อทบทวนผลการศึกษาและออกแบบใหม่ให้แล้วเสร็จและก่อสร้างภายในปี 59 พร้อมกันนี้ ได้มอบหมายให้กรมทางหลวง (ทล.) ศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายถนนศรีเพ็ญจาก 2 ช่องเป็น 4 ช่องจราจรด้วย
สำหรับทางรถไฟนั้น การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ได้ลงนามในสัญญาจ้างบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ดำเนินงานปรับปรุงทางรถไฟเดิมเสริมความมั่นคงโครงสร้างทาง (Track Strengthening) เปลี่ยนรางปัจจุบัน 60 ปอนด์/หลา เป็นขนาด 100 ปอนด์/หลา เปลี่ยนหมอนไม้เป็นหมอนคอนกรีตและหมอนเหล็ก (บริเวณสะพาน) รวมทั้งปรับปรุงทางหลีกและระบบอาณัติสัญญาณในย่านสถานี 17 สถานี ช่วงชุมทางคลองสิบเก้า-สุดสะพานคลองลึกระยะทาง 170 กม. วงเงิน 2,808 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 900 วัน โดยสัญญาจะแล้วเสร็จวันที่ 9 ก.พ. 2559 และก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ ระยะทาง 6 กิโลเมตร จากสถานีอรัญประเทศ-สุดชายแดนไทยที่บริเวณด่านคลองลึก อ.คลองลึก จ.สระแก้ว รวมถึงสร้างสะพานข้ามแดนคลองลึกที่มีคลองกั้นอยู่กับชายแดนประเทศกัมพูชาที่ด่านปอยเปต ระยะทาง 43 เมตร (วงเงินประมาณ 30 ล้านบาท) ส่วนกัมพูชานั้นกำลังก่อสร้างฟื้นฟูแนวเส้นทางใหม่จากศรีโสภณ-ปอยเปต ระยะทาง 48 กม. แต่ยังขาดอีกประมาณ 6 กม. จากปอยเปตมาเชื่อมกับชายแดนประเทศไทย
นายสุเทพ ตั้งเทียนทอง รองประธานหอการค้า จ.สระแก้ว กล่าวว่า ไทยส่งออกไปแถบยุโรปติดลบ แต่การค้าการส่งออกกับประเทศเพื่อนบ้านขยายตัวอย่างมาก โดยการค้าระหว่างไทย-กัมพูชา ปี 57 มีมูลค่า 7-8 หมื่นล้านบาท โดยไทยได้ดุลการค้าถึงประมาณ 5 หมื่นล้านบาท แต่จุดผ่านแดนเล็กต้องเร่งขยายหรือเปิดใหม่ให้ทันกับอัตราเติบโตของสินค้าและท่องเที่ยว ซึ่งมีนักท่องเที่ยวผ่านประมาณ 8,000-10,000 คนต่อวัน โดยสนับสนุนเปิดจุดผ่านแดนบ้านป่าไร่เพราะสามารถก่อสร้างและพัฒนาได้เร็ว
ด้านนายเตชิษฐ์ อุ่นวิจิตร ผู้จัดการ บริษัท SCG โลจิสติกส์ สาขากัมพูชา กล่าวว่า SCG ได้ตั้งบริษัทลอจิสติกส์ในกัมพูชาเมื่อปี 2557 โดยมียอดขายที่ 500 ล้านบาทและตั้งเป้ายอดขายปี 2558 ที่ 600 ล้านบาท โดยรับขนส่งสินค้าของบริษัท คือปูนซีเมนต์ และสินค้าเกษตร ภายในประเทศกัมพูชา โดยการขนส่งสินค้าและวัตถุดิบจากไทยไปกัมพูชานั้นถึงด่านพรมแดนจะต้องขนถ่ายขึ้นรถบรรทุกกัมพูชาซึ่งมีค่าใช้จ่าย และค่าขนส่งภายในประเทศกัมพูชาค่อนข้างสูง โดยหากทางรถไฟจากไทย-กัมพูชาเสร็จจะช่วยประหยัดต้นทุนด้านลอจิสติกส์ลงประมาณ 10-15% และต้นทุนสินค้าจะต่ำลงไปด้วย