บางจากฯ ตั้งงบลงทุน 6 ปี (2558-2563) แตะ 9 หมื่นล้านบาท โดยใช้เงินลงทุนส่วนใหญ่ไปในธุรกิจใหม่ทั้งสำรวจและผลิตปิโตรเลียม และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน แย้มอยู่ระหว่างเจรจาซื้อแหล่งปิโตรเลียม 2-3 แปลงในอ่าวไทย คาดได้ข้อสรุปปีนี้ ยันยื่นขอสัมปทานปิโตรเลียมรอบ 21 “ชัยวัฒน์” ปี๊งลุยศึกษารุกธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานใต้พิภพในอินโดนีเซีย และเหมืองแร่ลิเทียมที่สหรัฐฯ ใช้ผลิตแบตเตอรี่
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (BCP) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งงบลงทุน 6 ปีนี้ (2558-2563) อยู่ที่ 9 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนธุรกิจใหม่ถึง 56% ของงบลงทุนหรือประมาณ 5 หมื่นล้านบาท เป็นการลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) ธุรกิจพลังงานสะอาด (Green Power) และเชื้อเพลิงชีวภาพ (ไบโอฟูเอล) เงินลงทุนอีก 1.8 หมื่นล้านบาทหรือคิดเป็นสัดส่วน 20% จะใช้ในการซ่อมบำรุงโรงกลั่นน้ำมัน ส่วนเงินอีก 2 หมื่นล้านบาทหรือคิดเป็น 22% ใช้พัฒนาศักยภาพโรงกลั่นน้ำมัน สร้างปั๊มน้ำมันเพิ่มขึ้นและ 3E Project และเงินที่เหลือ 2 พันล้านบาทจะใช้ในการลงทุนธุรกิจนวัตกรรมใหม่
โดยในช่วง 1-2 ปีนี้จะใช้เงินลงทุนประมาณ 2 หมื่นกว่าล้านบาทเพื่อใช้ในการลงทุนธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะการลงทุนสำรวจและผลิตปิโตรเลียม โดยมีเป้าหมายที่ผลิตน้ำมันดิบเองให้ได้ 20% ของกำลังการกลั่นน้ำมันหรือประมาณ 2 หมื่นบาร์เรล/วัน และมีปริมาณสำรอง (2P) น้ำมันดิบอยู่ที่ระดับ 50 ล้านบาร์เรลในปี 2563 ดังนั้น ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าไปซื้อแหล่งปิโตรเลียม 2-3 แปลงในอ่าวไทย โดยจะเน้นแหล่งผลิตน้ำมันดิบ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปี 2558 รวมทั้งจะยื่นขอสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 อีก 2 แปลงในอ่าวไทยด้วย
โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้เข้าไปถือหุ้นในบริษัท Nido Petroleum ประเทศออสเตรเลีย ที่ได้รับสัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ โดย Nido ได้ซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท Galoc Production ทำให้ Nido ถือครองแหล่งผลิตน้ำมันดิบใน Galoc เพิ่มขึ้นเป็น 55.88% และทำหน้าที่โอเปอเรตในแหล่ง Galoc ทำให้ Nido มีปริมาณการผลิตน้ำมันดิบอยู่ที่ 4 พันบาร์เรล/วัน และมีสำรองน้ำมันดิบอยู่ที่ 7 ล้านบาร์เรล/วัน
นอกจากนี้ ในปี 2558 บริษัทฯ มีแผนขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีก 120 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 118 เมกะวัตต์ โดยจะยื่นเสนอทำโครงการโซลาร์สหกรณ์ราว 50 เมกะวัตต์ในไทย การรุกธุรกิจโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่นอีก 100 เมกะวัตต์ที่คาดว่าจะมีความชัดเจนในปีนี้ รวมทั้งเจรจาเข้าร่วมทุนกับพันธมิตรในธุรกิจพลังงานใต้พื้นพิภพ (Geothermal) ในอินโดนีเซีย เพื่อนำมาผลิตไฟฟ้า 30-40 เมกะวัตต์เพื่อขายในประเทศดังกล่าวด้วย
รวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้าไปลงทุนในธุรกิจขั้นต้นของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ด้วย โดยมีเป้าหมายที่จะผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดให้มากกว่า 500 เมกะวัตต์ในปี 2563 รวมทั้งสนใจเข้าร่วมทุนแหล่งแร่ลิเทียมที่สหรัฐอเมริกา โดยจะถือหุ้นส่วนน้อย เนื่องจากลิเทียมเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตแบตเตอรี่ที่มีความจำเป็นในอนาคต
“จากแผนการลงทุนดังกล่าวข้างต้นนี้ บริษัทฯ ยังไม่มีความจำเป็นต้องเรียกเงินเพิ่มทุนที่จะขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นในเดือน เม.ย.นี้ เว้นแต่จะเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่ใช้เงินทุนสูงและเป็นโครงการที่ดี เนื่องจากแต่ละปีบริษัทฯ มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานอยู่ถึง 7-8 พันล้านบาท และยังมีหุ้นกู้ที่จะระดมเงินได้อีก 4 หมื่นล้านบาทด้วย”
นายชัยวัฒน์กล่าวว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2563 บริษัทฯ คาดว่าจะมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและภาษี (EBITDA) อยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท โดยปีนี้บางจากคาดว่าจะมี EBITDA 1.04 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มี EBITDA 5.16 พันล้านบาท
นายชัยวัฒน์กล่าวถึงวิสัยทัศน์ในการบริหารงานในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ว่า จุดแข็งของบางจากที่ดำเนินธุรกิจมาตลอด 30 ปี คือการเป็นบริษัทไทยที่มั่นคงในการดำเนินธุรกิจปิโตรเลียมและธุรกิจต่อเนื่อง ช่วยพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของสังคมไทย นับจากนี้ไปบางจากจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลง เพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันทั้งในประเทศและอาเซียนเพื่อเป็นองค์กรที่สร้างความมั่นคงด้านพลังงาน (Security) ให้แก่ประเทศ โดยจะเน้นขยายการลงทุนไปธุรกิจต้นน้ำเพื่อจัดหาพลังงานให้เพียงพอต่อความต้องการ รวมทั้งสร้างเสถียรภาพด้านพลังงานและการเงิน (Stability) และสร้างความยั่งยืนให้แก่องค์กร (Sustainability)
ส่วนกรณีที่ บมจ.ปตท. (PTT) จะเสนอขายหุ้น BCP ส่วนที่เหลือราว 12% หลังจากเสนอขายให้แก่กองทุนวายุภักษ์ไปแล้วส่วนหนึ่งนั้น ขณะนี้กลุ่มผู้บริหารและพนักงานบางจากได้ยุติแผนที่จะเข้าซื้อหุ้น BCP จาก PTT ไปแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ได้เสนอซื้อหุ้น BCP สัดส่วน 27% ในราคาที่ต่ำ เชื่อว่า ปตท.คงอยากขายหุ้น BCP ให้ผู้ที่เสนอราคาสูงกว่า