xs
xsm
sm
md
lg

“APCO” ใช้ “อีเบย์” รุกดิจิตอล ผุดเพิ่ม 3 ดีซีต่างประเทศรับตลาด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

“ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียน ไฟย์โตชูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ “APCO”
“APCO” เผยรายได้ปี 57 สูงสุดกว่า 425 ล้านบาท ทำกำไรเกือบ 120 ล้านบาท เหตุสินค้าได้รับการตอบรับดีจากผู้บริโภค แต่ยังหวั่นกำลังซื้อในประเทศไม่ฟื้นตัว เบนเป้าใหม่เจาะตลาดต่างประเทศด้วยแผนดิจิตอลมาร์เกตติ้งผ่านแพลตฟอร์ม “อีเบย์” หวังทำรายได้ต่างประเทศโตพรวดถึง 1.6 พันล้านบาทจาก 3 ผลิตภัณฑ์หลัก ส่งผลรายได้รวมโตขึ้นถึง 6 เท่าเป็น 2 พันล้านบาทในปี 58

ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียน ไฟย์โตชูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ “APCO” เจ้าของธุรกิจนวัตกรรมผลิตภัณฑ์บำรุงสุขภาพ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเสริมความงามครบวงจร เปิดเผยว่า ในปี 2557 ถือว่าบริษัทฯ มีผลประกอบการสูงสุดตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อปี 2554 โดยมีรายได้รวมจำนวน 425.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.17% จากปี 2556 ที่มีรายได้รวม 348.54 ล้านบาท

ผลประกอบการดังกล่าวทำให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 118.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50.64% จากปี 2556 ที่มีเพียง 39.92 ล้านบาท เนื่องจากผู้บริโภคให้การยอมรับในผลิตภัณฑ์บำรุงสุขภาพโดยการสร้างภูมิคุ้มกันที่สมดุลจากสารสกัดจากธรรมชาติ (Operation BIM) ทำให้มียอดขายสินค้าในส่วนที่มีกำไรขั้นต้นสูงได้มากขึ้น

ขณะเดียวกันยังมีการปรับช่องทางการจำหน่ายมากขึ้น ทั้งช่องทางขายตรงหลายชั้นแบบ Multi-Level Marketing, เทเลมาร์เกตติ้ง, ผ่านศูนย์ผลิตภัณฑ์ BIM เฮลท์แคร์ เซ็นเตอร์, ศูนย์ผลิตภัณฑ์ Goldshape ในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น เอ็กซตร้า, ทีวีดาวเทียม และอื่นๆ โดยมีการใช้งบประมาณการตลาดประมาณ 20 ล้านบาท

“สำหรับแผนงานในปี 2558 บริษัทฯ จะปรับแผนการดำเนินงานใหม่โดยเน้นตลาดต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากเห็นว่าภาวะเศรษฐกิจในประเทศยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้อย่างชัดเจนว่าจะเริ่มดีขึ้น ประกอบกับกำลังซื้อของผู้บริโภคยังไม่กลับคืนเท่าที่ควร จึงได้ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิตอลมาร์เกตติ้งจากประเทศสิงคโปร์ในการใช้แพลตฟอร์ม Margento ในระบบอี-คอมเมิร์ซของ “อีเบย์” เพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไปยังผู้บริโภคต่างประเทศโดยตรง โดยจะเริ่มดำเนินงานตั้งแต่ต้นเดือน มี.ค. 58” ศ.ดร.พิเชษฐ์กล่าวเสริม

แผนงานด้านดิจิตอลมาร์เกตติ้งดังกล่าวจะใช้แพลตฟอร์มบนเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ กูเกิลพลัส และเว็บไซต์ โดยจะเน้น 3 ผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นหลัก คือ ผลิตภัณฑ์ LIV สำหรับผู้ติดเชื้อ HIV นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ Arthrinok สำหรับผู้มีปัญหาข้อเสื่อมและแพ้ภูมิตัวเอง รวมทั้งผลิตภัณฑ์ GoldShape ชนิดชงดื่มและทาผิวสำหรับผู้ต้องการกระชับสัดส่วน

จากแผนงานดิจิตอลมาร์เกตติ้งดังกล่าวทำให้ต้องมีการจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าต่างประเทศเพิ่มขึ้น 3 แห่ง ได้แก่ ศูนย์ฯ กระจายสินค้า เมืองลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา เพื่อกระจายสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกา แคนาดา และเม็กซิโก นอกจากนี้ยังมีศูนย์ฯ ประจำประเทศฮ่องกง เพื่อกระจายสินค้าในประเทศฮ่องกง จีน ไต้หวัน เกาหลี และญี่ปุ่น รวมทั้งศูนย์ฯ ประจำประเทศสิงคโปร์ เพื่อกระจายสินค้าในประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และบรูไน

ศ.ดร.พิเชษฐ์กล่าวด้วยว่า ก่อนหน้านี้บริษัทฯ ทำตลาดต่างประเทศโดยมีตัวแทนจำหน่ายในประเทศจีน ฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน โดยมีสัดส่วนรายได้ประมาณ 10% ในปี 2557 แต่จากการดำเนินงานตามแผนดิจิตอลมาร์เกตติ้งครั้งนี้คาดว่าจะสามารถทำรายได้ต่างประเทศแบบก้าวกระโดดมากกว่า 6 เท่า หรือประมาณ 1.6 พันล้านบาท รวมกับรายได้ภายในประเทศไม่ต่ำกว่า 430 ล้านบาท รวมเป็นรายได้มากกว่า 2 พันล้านบาทในปี 2558

“ตามแผนงานดังกล่าว ผมมั่นใจว่าจะทำยอดขายต่างประเทศได้อย่างน้อย 25% ของเป้าหมาย 1.6 พันล้านบาท พร้อมจำนวนเอเยนต์เพิ่มขึ้นประมาณ 1 พันราย จากจำนวนสมาชิกที่มีอยู่ปัจจุบัน 2.6 พันราย โดยพร้อมที่จะนำผลิตภัณฑ์ทั้งหมดประมาณ 30-40 รายการเข้าสู่ระบบดิจิตอลมาร์เกตติ้งเป็นลำดับต่อไป”

ศ.ดร.พิเชษฐ์กล่าวอีกว่า ล่าสุดบริษัทฯ ใช้งบลงทุนประมาณ 40 ล้านบาทในการขยายคลังสินค้าและโรงงานแห่งที่ 2 บนพื้นที่เดิมประมาณ 5 ไร่ภายในนิคมอุตสาหกรรมจังหวัดลำพูน โดยคลังสินค้าเพิ่งแล้วเสร็จเมื่อประมาณเดือน ธ.ค. 57 ส่วนโรงงานแห่งที่ 2 คาดว่าจะพร้อมเดินสายการผลิตได้ประมาณเดือน เม.ย. 58

นอกจากนี้ ยังได้ย้ายสำนักงานใหญ่แห่งใหม่บนพื้นที่ 1.9 พันตารางเมตร ชั้น 30 อาคาร AIA Capital Center ข้างอาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ แห่งใหม่ ถ.รัชดาภิเษก กรุงเทพฯ โดยจะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มี.ค. 58 เพื่อให้บริการและเพิ่มความสะดวกแก่กลุ่มลูกค้า ผู้ถือหุ้น นักลงทุนในการเข้าใช้บริการรับข้อมูลโดยตรงจากบริษัทฯ อีกทั้งยังเป็นโอกาสในการขยายฐานลูกค้าใหม่ด้วย รวมเป็นสำนักงานสาขาใน 5 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ ชลบุรี เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี และ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา




กำลังโหลดความคิดเห็น