เผย 5 รายสมัครชิงดำ ผอ.อคส. คาดไม่เกิน มี.ค.นี้ ได้ตัวแน่ ด้านประธานบอร์ด อคส. เผยล่าสุดจ่ายหนี้คงค้างไปแล้วเกือบ 50% จากยอดหมื่นล้าน ส่วนหนี้คงค้างของคู่ค้าที่ผิดสัญญา เตรียมเสนอกฤษฎีกาปลดล็อกเรื่องค่าปรับ หากทำได้ คาดได้หนี้คืนหมดภายในปี 58 พร้อมสั่งเจ้าหน้าที่เตรียมพร้อมเรื่องสัญญาและการส่งมอบข้าวรองรับเปิดประมูลข้าวยกคลัง 1 ล้านตัน
นางจินตนา ชัยยวรรณาการ ประธานกรรมการองค์การคลังสินค้า (อคส.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการคัดเลือกผู้อำนวยการ อคส. ว่าขณะนี้ได้ปิดรับสมัครแล้ว มีผู้สนใจสมัครเข้ารับการคัดเลือกจำนวน 5 คน ได้แก่ 1. นายวิวัฒน์ ดีนะวนิชพงศ์ กรรมการและผู้จัดการตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย 2. นายพิชย์พิพรรธ ศรีตระกูลรักษ์ ประธานกรรมการ บริษัท พันปีกรุ๊ป (ไทย ลาว กัมพูชา) จำกัด 3. ดร.เดชจรัส ชาญวิวัฒน์ ผู้จัดการทั่วไปบริษัท บากาสซ์ ไดร์เออร์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด 4. นายพีระพันธ์ เหมะรัต กรรมการชุมนุมสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนแห่งประเทศไทย จำกัด และ 5. ดร.กฤษฎากร พจมานศิริ ที่ปรึกษาประจำบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) กรรมการอำนวยการวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา กรรมการสายงานการค้าชายแดนและกรรมการเขตเศรษฐกิจ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ทั้งนี้ ในสัปดาห์หน้าคณะอนุกรรมการสรรหาจะประชุมกำหนดคุณสมบัติและเปิดรับฟังวิสัยทัศน์จากผู้สมัคร โดยบอร์ด อคส.ต้องการให้เร่งดำเนินการให้เร็ว เพื่อ อคส.มีผู้บริหารเข้ามาบริหารจัดการงานภายใน อคส. ตามขั้นตอนน่าจะใช้เวลาไม่เกิน 2 เดือน หรือไม่เกินเดือน มี.ค. 2558 น่าจะได้ข้อสรุป
อย่างไรก็ตาม เห็นว่าคุณสมบัติเด่นของ ผอ.อคส.ในปัจจุบันควรเป็นบุคคลที่มีฝีมือในด้านพัฒนาธุรกิจเชิงพาณิชย์ สามารถทำรายได้ให้ อคส.สามารถเลี้ยงตัวเองและทำกำไรจากเครื่องมือที่มีอยู่ เช่น รายได้จากนำเข้าสินค้าเกษตร พัฒนาสินค้าและส่งออก เป็นต้น
นางจินตนากล่าวว่า สำหรับการสะสางหนี้คงค้างของ อคส. ขณะนี้ได้เร่งดำเนินการแล้วกว่า 50% โดยในส่วนการจ่ายหนี้คงค้างให้โรงสีตามโครงการรับจำนำข้าวในอดีต ตั้งแต่เดือน ต.ค. 2557 ถึงต้น ม.ค. 2558 จ่ายไปแล้วกว่า 4 พันล้านบาท จากยอดเต็มกว่า 1 หมื่นล้านบาท
ส่วนหนี้คงค้างของคู่สัญญาที่ผิดสัญญากับ อคส. เช่น โรงสี ส่งมอบข้าวสีแปรเข้าโกดังหลวงเกินเวลากำหนด ผู้ซื้อข้าวรัฐมารับข้าวและส่งออกไม่ทันเงื่อนไข ซึ่งการผิดสัญญาต้องถูกปรับในอัตราต่อวัน 0.1-0.2% แต่เมื่อคิดเป็นอัตราค่าปรับต่อปีสูงถึง 38-73% จึงเป็นเหตุให้ค่าปรับสูงกว่าเงินต้น ทำให้เอกชนไม่อาจหาเงินจ่ายคืนได้ ซึ่ง อคส.ได้ทำหนังสือไปยังกฤษฎีกาว่า อคส.มีอำนาจให้การลดอัตราค่าปรับให้เป็นไปตามกฎหมายแพ่งและอาญาทั่วไป หรือคิดในอัตราปีละ 7.5-15% ได้หรือไม่ เพราะเห็นว่าเป็นสัญญาไม่เป็นธรรม และเกิดผลต่อการปิดบัญชีของ อคส.ที่คงค้างจำนวนมาก กว่า 1 หมื่นล้านบาท แต่หากทำได้ เอกชนที่ติดหนี้กับ อคส.ก็พร้อมที่จะจ่าย และทำให้ปัญหาเรื่องผิดสัญญาหมดลง และเอกชนเองก็สามารถรับคืนเงินวางค้ำประกันกลับไปได้ โดยน่าจะทำได้จบภายในปี 2558
นางจินตนากล่าวว่า ในส่วนของการเตรียมพร้อมของ อคส. เพื่อรองรับการเปิดประมูลข้าวแบบยกคลังปริมาณ 1 ล้านตัน ที่กรมการค้าต่างประเทศจะประกาศทีโออาร์ในวันที่ 20 ม.ค. 2558 นั้น ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ อคส.เตรียมพร้อมสัญญาและการส่งมอบข้าวในโกดังต่างๆ ซึ่งเชื่อว่าจำนวนข้าวที่เปิดระบายไม่ได้กระทบต่อราคาข้าวในตลาดแน่นอน เพราะข้าวในตลาดช่วงนี้ลดลง และข้าวนาปรัง 2558 ผลผลิตไม่น่าจะมีมาก