xs
xsm
sm
md
lg

เมกอัพหรูหั่นราคาลุยแมส “แฟชั่นควีน” ชี้เกาหลีซาลง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“อาทิตยา ดิถีเพ็ญ” กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท แฟชั่นควีน จำกัด
“มิ้น-อาทิตยา” หวังดัน “แฟชั่นควีน” อีก 5 ปีทะลุ 1 พันล้านบาท ปลื้มธุรกิจเครื่องสำอางไปได้สวย เตรียมเพิ่มอีก 2 แบรนด์เข้ามาลุยตลาด หลังส่ง “เอสเซนส์” กรุยตลาด 3 ปียอดขายเติบโต 30% ต่อเนื่องตามแผน ต่อยอดรายได้รวมปีนี้เติบโต 20% สวนเศรษฐกิจ

นางสาวอาทิตยา ดิถีเพ็ญ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท แฟชั่นควีน จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเครื่องสำอาง 3 แบรนด์ดัง คือ “คิส” (Kiss), “คิสมี” (Kiss Me) และ “เอสเซนส์” (essence) เปิดเผยว่า ภาพรวมสินค้าเครื่องสำอางของไทยมีมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท แต่ในกลุ่มเครื่องสำอางคอสเมติกมีมูลค่าอยู่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท และเป็นกลุ่มสินค้าที่ยังคงเติบโตต่อเนื่องไม่ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร

ในปี 2557 กลุ่มคอสเมติกระดับแมสมีการแข่งขันสูงที่สุด จากระดับราคาที่จับต้องได้ง่าย ส่งผลให้แบรนด์ที่มีโพซิชันนิ่งสูงกว่าหันมาทำราคาในระดับแมสมากขึ้น บวกกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่ชื่นชอบการทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยไม่ยึดติดแบรนด์เท่ากับกลุ่มสกินแคร์ ทำให้คอสเมติกระดับแมสยังคงมีอัตราการเติบโตได้ดี

“นอกจากนี้ยังพบด้วยว่า กระแสโลกออนไลน์ บล็อกเกอร์ ที่มีการแนะนำสินค้า เป็นส่วนสำคัญที่กระตุ้นให้ตลาดเครื่องสำอางเติบโตได้มาก รวมถึงช่วยให้เห็นถึงกระแสความนิยมผลิตภัณฑ์ในช่วงเวลานั้นๆ ด้วย โดยในปีนี้พบว่ากระแสเครื่องสำอางจากฝั่งยุโรปกำลังมาแรง รีเทลมีการนำเข้ามาทำตลาดหลายแบรนด์ ส่วนเครื่องสำอางเกาหลีน้อยลง”

สำหรับแบรนด์ “เอสเซนส์” เป็นเครื่องสำอางระดับแมส ระดับราคาเฉลี่ย 125 บาท ไม่เกิน 300 บาท เจาะกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานเป็นหลัก โดดเด่นในเรื่องแฟชั่นแห่งสีสันและเมกอัพเทรนด์ ซึ่งสินค้าที่ได้รับความนิยมมากสุดคือ ยาทาเล็บ และรองพื้น เป็นต้น และเป็นแบรนด์ที่เป็นอันดับ 1 ในเยอรมนี และยุโรป ในเซกเมนต์ระดับแมส โดยในประเทศไทยเอสเซนส์ทำตลาดมาได้ 3 ปีนี้ สร้างรายได้อยู่ที่ 50% และมีการเติบโต 30% ต่อเนื่อง และอีก 2แบรนด์ คือ คิส และคิสมี ที่นำเข้าจากญี่ปุ่น ทำรายได้รวมกัน 50% ส่งผลให้ทั้งปีนี้บริษัทยังมีอัตราการเติบโตที่ 20% ได้

สำหรับแบรนด์ “เอสเซนส์” พร้อมใช้งบลงทุนกว่า 20 ล้านบาทในปี 2558 แบ่งเป็น 15 ล้านบาทเพิ่มจุดขายเป็น 350 สาขาจากปัจจุบันอยู่ที่ 262 สาขา โดยเน้นช่องทางโมเดิร์นเทรด เช่น วัตสัน, บู๊ทส์, เทสโก้ โลตัส, ซูรุฮะ เป็นต้น นอกจากนี้ จากการได้ไลเซนส์ในประเทศเมียนมาร์ ลาว และกัมพูชา ปีหน้าจึงมีแผนขยายสาขาในประเทศเมียนมาร์เพิ่มอีก 10 สาขา จากปีนี้เปิดให้บริการแล้ว 10 สาขา ส่วนในลาวและกัมพูชากำลังศึกษาตลาด คาดว่าจะเข้าไปได้ในปีหน้าในลักษณะของการจอยต์เวนเจอร์ร่วมกันกับพาร์ตเนอร์ในประเทศนั้นๆ

“จากความสำเร็จที่เกิดขึ้น มองว่าภายใน 3-5 ปีหลังจากนี้จะมีการเพิ่มแบรนด์เครื่องสำอางเข้ามาจำหน่ายอีก 2 แบรนด์ ขณะที่รายได้มองว่าน่าจะทำได้ถึง 1 พันล้านบาท” นางสาวอาทิตยา กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น