ตลาดเครื่องสำอางมูลค่า 1.25 แสนล้านบาทปีนี้คาดโต 7% เหตุสาวไทยไม่หยุดสวย “บิวตี้ คอมมูนิตี้” เดินหน้าต่อเนื่อง ทุ่ม 400 ล้านบาทลุยเต็มสูบ เพิ่มแวร์เฮาส์ ผุดสาขาต่างประเทศ 13 สาขา พร้อมเล็งเปิดแบรนด์ใหม่อีก หวังทั้งปีดันยอดขายโต 30% ตามเป้า
นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดเครื่องสำอางมูลค่า 125,000 ล้านบาทปีนี้น่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 7-8% หากจีดีพีของประเทศอยู่ที่ 2-3 ซึ่งตลาดเครื่องสำอางโดยปกติจะเติบโตกว่าจีดีพีของประเทศอยู่แล้ว และเป็นกลุ่มสินค้าที่ยังคงเติบโตได้แม้ว่าเศรษฐกิจและสถานการณ์ทางการเมืองจะไม่ค่อยดีก็ตาม โดยกลุ่มเครื่องสำอางระดับกลางเป็นกลุ่มที่มีความแข็งแกร่งสุด เป็นตลาดใหญ่สุดและยืดหยุ่นรับกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดี
ทั้งนี้ พบว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคจะไม่ยึดติดแบรนด์อย่างที่ผ่านมา แต่จะมุ่งในเรื่องของความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์เป็นหลัก บวกกับการแข่งขันของตลาดเครื่องสำอางมีสูง โดยเฉพาะระดับกลาง มีการนำเสนอสินค้าใหม่และนวัตกรรมออกมาอย่างต่อเนื่อง คุณภาพใกล้เคียงกับเคาน์เตอร์แบรนด์ ผู้บริโภคมีทางเลือกมากยิ่งขึ้น ทำให้ตลาดเครื่องสำอางจึงยังไปได้อยู่
ในส่วนของบริษัทพบว่าตั้งแต่ปลายปีจนถึงไตรมาสหนึ่งที่ผ่านมายอดขายตกลงไปบ้าง แต่พอเข้าสู่เดือน เม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมามีการเติบโตที่ดีขึ้น เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทจับกลุ่มกลางถึงบนเป็นหลัก และจากการที่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เข้ามาบริหารประเทศและส่งผลให้บ้านเมืองสงบ การใช้จ่ายฟื้นตัว จึงมองว่าในครึ่งปีหลังยอดขายจะกลับมาได้ดี หรือทั้งปีบริษัทจะยังเติบโตตามแผนที่วางไว้อีก 30% และกำไรสุทธิเติบโต 20%
โดยทั้งปีนี้ยังคงเดินหน้าแผนลงทุนที่ 400 ล้านบาทตามเดิมคือ การสร้างเทรนนิ่งเซ็นเตอร์ 180 ล้านบาท และแวร์เฮาส์แห่งที่ 2 บนพื้นที่ 3 ไร่ ถัดไปจากแห่งแรก 300 เมตร มูลค่าการลงทุน 120 ล้านบาท และการขยายสาขาใหม่ให้กับทั้ง 3 ชอปแบรนด์คือ “บิวตี้ บุฟเฟต์” เพิ่มอีก 30 สาขา “บิวตี้ คอตเทจ” 15 สาขา และ “บิวตี้ มาร์เกต” 20 สาขา ภายใต้งบลงทุนราว 180-200 ล้านบาท แต่ละสาขาลงทุนประมาณ 7 ล้านบาท ซึ่งในต่างประเทศนั้นปีนี้จะเปิดเพิ่มอีก 13 สาขาคือ กัมพูชา 4 สาขา เวียดนาม 4 สาขา พม่า 2 สาขา และลาว 2 สาขา ในลักษณะดิสทริบิวเตอร์ ถึงสิ้นปีนี้สาขาในต่างประเทศรวมกันน่าจะได้ 19 สาขา และทำรายได้อยู่ที่ 1% ของรายได้รวมทั้งหมด
นายแพทย์สุวิน กล่าวต่อว่า บริษัทไม่มีแผนต่อยอดธุรกิจในรูปแบบคลินิกความงามแน่นอน เพราะไม่ถนัด การแข่งขันสูง และมีแนวโน้มอิ่มตัวเร็ว ดังนั้นแผนต่อยอดธุรกิจของบริษัทจะเน้นอยู่ 3 เรื่องคือ มัลติแบรนด์ มัลติโปรดักต์ และมัลติแชนเนล ซึ่งในช่วงไตรมาสสามนี้ บริษัทเตรียมเปิดตัวชอปแบรนด์ใหม่เพิ่มอีก 1 แบรนด์ด้วยจากที่กำลังพัฒนาอยู่หลายแบรนด์
อย่างไรก็ตาม จากตัวเลขตลาดเครื่องสำอางมูลค่า 125,000 ล้านบาท ในปี 2555 ที่ผ่านมาพบว่าสามารถแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่คือเครื่องสำอางในกลุ่มไฮเปอร์มาร์เกต มีมูลค่า 81,624 ล้านบาท และเครื่องสำอางในกลุ่มรีเทล มีมูลค่า 44,000 ล้านบาท ส่วนในปีนี้นั้นยังไม่มีใครเก็บรวบรวมตัวเลขไว้ แต่จากพฤติกรรมของผู้บริโภคมองว่ากลุ่มเครื่องสำอางระดับกลางเป็นกลุ่มที่เติบโตมากสุด
นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดเครื่องสำอางมูลค่า 125,000 ล้านบาทปีนี้น่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 7-8% หากจีดีพีของประเทศอยู่ที่ 2-3 ซึ่งตลาดเครื่องสำอางโดยปกติจะเติบโตกว่าจีดีพีของประเทศอยู่แล้ว และเป็นกลุ่มสินค้าที่ยังคงเติบโตได้แม้ว่าเศรษฐกิจและสถานการณ์ทางการเมืองจะไม่ค่อยดีก็ตาม โดยกลุ่มเครื่องสำอางระดับกลางเป็นกลุ่มที่มีความแข็งแกร่งสุด เป็นตลาดใหญ่สุดและยืดหยุ่นรับกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดี
ทั้งนี้ พบว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคจะไม่ยึดติดแบรนด์อย่างที่ผ่านมา แต่จะมุ่งในเรื่องของความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์เป็นหลัก บวกกับการแข่งขันของตลาดเครื่องสำอางมีสูง โดยเฉพาะระดับกลาง มีการนำเสนอสินค้าใหม่และนวัตกรรมออกมาอย่างต่อเนื่อง คุณภาพใกล้เคียงกับเคาน์เตอร์แบรนด์ ผู้บริโภคมีทางเลือกมากยิ่งขึ้น ทำให้ตลาดเครื่องสำอางจึงยังไปได้อยู่
ในส่วนของบริษัทพบว่าตั้งแต่ปลายปีจนถึงไตรมาสหนึ่งที่ผ่านมายอดขายตกลงไปบ้าง แต่พอเข้าสู่เดือน เม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมามีการเติบโตที่ดีขึ้น เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทจับกลุ่มกลางถึงบนเป็นหลัก และจากการที่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เข้ามาบริหารประเทศและส่งผลให้บ้านเมืองสงบ การใช้จ่ายฟื้นตัว จึงมองว่าในครึ่งปีหลังยอดขายจะกลับมาได้ดี หรือทั้งปีบริษัทจะยังเติบโตตามแผนที่วางไว้อีก 30% และกำไรสุทธิเติบโต 20%
โดยทั้งปีนี้ยังคงเดินหน้าแผนลงทุนที่ 400 ล้านบาทตามเดิมคือ การสร้างเทรนนิ่งเซ็นเตอร์ 180 ล้านบาท และแวร์เฮาส์แห่งที่ 2 บนพื้นที่ 3 ไร่ ถัดไปจากแห่งแรก 300 เมตร มูลค่าการลงทุน 120 ล้านบาท และการขยายสาขาใหม่ให้กับทั้ง 3 ชอปแบรนด์คือ “บิวตี้ บุฟเฟต์” เพิ่มอีก 30 สาขา “บิวตี้ คอตเทจ” 15 สาขา และ “บิวตี้ มาร์เกต” 20 สาขา ภายใต้งบลงทุนราว 180-200 ล้านบาท แต่ละสาขาลงทุนประมาณ 7 ล้านบาท ซึ่งในต่างประเทศนั้นปีนี้จะเปิดเพิ่มอีก 13 สาขาคือ กัมพูชา 4 สาขา เวียดนาม 4 สาขา พม่า 2 สาขา และลาว 2 สาขา ในลักษณะดิสทริบิวเตอร์ ถึงสิ้นปีนี้สาขาในต่างประเทศรวมกันน่าจะได้ 19 สาขา และทำรายได้อยู่ที่ 1% ของรายได้รวมทั้งหมด
นายแพทย์สุวิน กล่าวต่อว่า บริษัทไม่มีแผนต่อยอดธุรกิจในรูปแบบคลินิกความงามแน่นอน เพราะไม่ถนัด การแข่งขันสูง และมีแนวโน้มอิ่มตัวเร็ว ดังนั้นแผนต่อยอดธุรกิจของบริษัทจะเน้นอยู่ 3 เรื่องคือ มัลติแบรนด์ มัลติโปรดักต์ และมัลติแชนเนล ซึ่งในช่วงไตรมาสสามนี้ บริษัทเตรียมเปิดตัวชอปแบรนด์ใหม่เพิ่มอีก 1 แบรนด์ด้วยจากที่กำลังพัฒนาอยู่หลายแบรนด์
อย่างไรก็ตาม จากตัวเลขตลาดเครื่องสำอางมูลค่า 125,000 ล้านบาท ในปี 2555 ที่ผ่านมาพบว่าสามารถแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่คือเครื่องสำอางในกลุ่มไฮเปอร์มาร์เกต มีมูลค่า 81,624 ล้านบาท และเครื่องสำอางในกลุ่มรีเทล มีมูลค่า 44,000 ล้านบาท ส่วนในปีนี้นั้นยังไม่มีใครเก็บรวบรวมตัวเลขไว้ แต่จากพฤติกรรมของผู้บริโภคมองว่ากลุ่มเครื่องสำอางระดับกลางเป็นกลุ่มที่เติบโตมากสุด