“กบง.” เคาะขึ้นราคาแอลพีจีขนส่ง 0.63 บาทต่อกิโลกรัม มีผลวันที่ 21 ต.ค.เป็นต้นไป พร้อมรีดเงินดีเซลเข้ากองทุนน้ำมันฯ 0.70 บาทต่อลิตรโปะกองทุนน้ำมันฯ หวังล้างหนี้ให้หมดใน 10 วันจากนี้ไป แต่ไม่เรียกกลุ่มเบนซินส่งสัญญาณให้ผู้ค้าน้ำมันลดราคาแทน แต่ยอมรับ E20 กับ E85 อาจลดไม่ได้เหตุค่าการตลาดต่ำแต่ก็ขึ้นกับผู้ค้า
นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2557 ว่า กบง.ได้เห็นชอบการปรับราคาแอลพีจี หรือก๊าซหุงต้มภาคขนส่ง 0.63 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) เพื่อให้ราคาขึ้นมาเท่ากับแอลพีจีภาคครัวเรือนที่ 22.63 บาทต่อ กก. มีผลตั้งแต่วันที่ 21 ต.ค.เป็นต้นไป เพื่อป้องกันการลักลอบการใช้ผิดประเภท พร้อมกับเห็นชอบให้เพิ่มอัตรานำส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงส่วนของดีเซลอีก 0.70 บาทต่อลิตร เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับลดลงต่อเนื่อง
ทั้งนี้ กบง.ไม่ได้เรียกอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ก็เพื่อให้ผู้ค้าน้ำมันลดราคาขายปลีกให้กับประชาชนแทน เท่าที่พิจารณาเบื้องต้นจากค่าการตลาดแล้วพบว่าน้ำมันเบนซิน และแก๊สโซฮอล์อื่นๆ ยกเว้นแก๊สโซฮอล์อี 20 และอี 85 ที่ดูแล้วอาจไม่เปลี่ยนแปลง แต่ทั้งนี้รัฐไม่ได้บังคับขึ้นอยู่กับว่าผู้ค้าน้ำมันจะตัดสินใจอย่างไรเป็นสำคัญ
สำหรับการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯครั้งนี้จะทำให้ดีเซลจากเดิมเก็บ 3.00 บาท/ลิตร เป็น 3.70 บาท/ลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2557 โดยไม่ส่งผลต่อราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลแต่อย่างใด โดยน้ำมันดีเซลยังคงอยู่ที่ 29.39 บาท/ลิตร การปรับเพิ่มเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของดีเซลนี้ทำให้ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะกลับมาเป็นบวกภายใน 10 วันจากปัจจุบันที่ติดลบ 1,985 ล้านบาท
นายณรงค์ชัยกล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) วันที่ 22 ต.ค.นี้ก็จะมีการปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้สะท้อนกลไกต้นทุนอีกครั้ง ส่วนจะเป็นประเภทใดคงไม่สามารถบอกได้ แต่หลักการทั้งน้ำมันแอลพีจีและเอ็นจีวีจะสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และมีการจัดเก็บอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่เท่ากันเพื่อความเป็นธรรม ส่วนกองทุนน้ำมันฯจะทยอยเก็บเงินเข้าไว้เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันเท่าที่จำเป็นแต่จะเป็นจำนวนเงินเท่าใดยังบอกไม่ได้