“ประจิน” ควง “อาคม” เข้ากระทรวงคมนาคมเป็นทางการ เผย 3 งานด่วน แผนปฏิบัติงานคมนาคม แต่งตั้งโยกย้าย และ Work Shop งานขนส่งบก อากาศ และน้ำ พร้อมยันเดินหน้าสุวรรณภูมิเฟส 2 ไม่ชะลอ ลั่นรถเมล์ NGV ต้องซื้อล็อตแรก 489 คันแน่นอน
วันนี้ (12 ก.ย.) เมื่อเวลาประมาณ 13.03 น. พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เดินทางเข้ากระทรวงคมนาคม อย่างเป็นทางการ โดยมี นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม พร้อมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง และหน่วยงานในสังกัดให้การต้อนรับ โดยภายหลังสักการะพระพุทธคมนาคมบพิธแล้ว พล.อ.อ.ประจิน ได้พบปะกับผู้บริหาร โดยกล่าวว่า กระทรวงคมนาคม เป็นกระทรวงใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นที่คาดหวังของประชาชน และนักลงทุนทั้งใน และต่างประเทศ โดยจะนำนำแผนงานที่มีมาสานงานและเชื่อมโยงกับนโยบายของรัฐบาลที่นายกรัฐมนตรีได้แถลงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งในส่วนของกระทรวงคมนาคม มียุทธศาสตร์ชัดเจนแล้วว่าจะทำอะไรบ้างในปี 2557-2558
ทั้งนี้ นายกฯ ได้มอบให้ทุกกระทรวงจัดทำ Action Plan หรือแผนปฎิบัติการอย่างน้อย 1 ปี ซึ่งจะมีเพิ่มแผนระยะกลางไปด้วย เพื่อให้เห็นภาพของกระทรวงคมนาคมว่าจะดำเนินการอะไรบ้างใน 1 ปี 2 ปี 3 ปี และ 4 ปี ส่วนแผนงานยุทธศาสตร์การเชื่อมโครงข่ายประเทศปี 2557-2565 ได้รับอนุมัติแล้ว เชื่อว่า จะเชื่อมโยงกันจนได้บรรลุเป้าหมายในปี 2565 โดยเจตนาของ คสช.จะทำงานควบคู่ไปกับการปฏิรูปให้แล้วเสร็จใน 1 ปี แต่เนื่องจากงานคมนาคมขนส่งจำเป็นต้องเชื่อมโยง ทั้งบก อากาศ น้ำ ทั้งในประเทศ และระหว่างประเทศ จึงต้องวางแผนระยะยาวในภาพรวมไว้ด้วย ส่วนแผนยุทธศาสตร์โครงสร้างพื้นฐานจะขยายจาก 8 เป็น 10 ปี เพื่อให้สอดคล้องต่อการดำเนินงาน เพราะบางโครงการ เช่น การก่อสร้างท่าเรือ การปรับปรุงสนามบิน หรือรถไฟทางคู่ต้องใช้เวลา ซึ่งเดิมรถไฟทางคู่ 2 จะใช้เวลาดำเนินงาน 6-8 ปี แต่ส่วนที่เชื่อมเชื่อมโยงกับลาวและมาเลเซีย อาจต้องใช้เวลาถึง 10 ปี
พล.อ.อ.ประจิน กล่าวว่า ภารกิจเร่งด่วนที่จะต้องทำก่อนมี 3 เรื่องคือ 1.กลั่นกรองนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ออกมาเป็น Action Plan หรือแผนปฏิบัติการของกระทรวงคมนาคมให้แล้วเสร็จภายในวันอังคารที่ 16 กันยายนนี้ 3.จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (Work Shop) คมนาคมขนส่งทางบก ทางอากาศ ทางน้ำ เพื่อจัดทำแผนงานให้มีความชัดเจน เป้าหมายเพื่อตรวจสอบว่า แต่ละโครงการมีปัญหาอุปสรรคตรงไหน และแก้ปัญหาให้ครบวงจร เพื่อให้กระบวนการจัดทำร่างขอบเขต และรายละเอียดของ TOR มีความโปร่งใส สามารถดำเนินการได้ภายในรอบเดียวไม่ต้องแก้ไขให้เสียเวลา
ทั้งนี้ ภายในปีนี้จะต้องมีการลงนามสัญญาโครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้ก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน 3,183 คัน วงเงิน 13,162.2 ล้านบาท ในส่วนของรถล็อตแรก จำนวน 489 คันแน่นอน ซึ่งจะมีความชัดเจนว่าจะรับมอบกันเมื่อใด ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการปรับ TOR ให้มีความเหมาะสมทั้งกรณีรถปรับอากาศ และรถร้อน และรถชานต่ำ ชานสูง
สำหรับโครงการสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 วงเงินลงทุน 62,500 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.ที่มี นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร เป็นประธาน ได้มีมติให้ชะลอออกไปก่อน โดยให้ ทอท.ศึกษาและจัดทำรายละเอียดการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ (Multi Terminal) บริเวณทิศเหนือของอาคารเทียบเครื่องบิน A แทนนั้น พล.อ.อ.ประจิน กล่าวว่า โครงการสุวรรณภูมิเฟส 2 จะใช้เป้าหมายเดิมเป็นหลัก จะไม่รอ โดยปีหน้าจะต้องเริ่มทำสุวรรณภูมิเฟส 2 ช่วงแรก ซึ่งจะสรุปรายละเอียด และชี้แจงให้ทราบภายในเดือนตุลาคมนี้ หลังจากทำ Work Shop คมนาคมทางอากาศก่อนจะเห็นภาพชัดเจนมากขึ้น
“โดยหลักจะขยายอาคารผู้โดยสารเดิม และเพิ่มเติมอาคารใหม่ ปรับปรุงเพิ่มลานจอด ส่วนทางวิ่ง (รันเวย์) เส้นที่ 3 จะต้องศึกษาเพิ่มเติมก่อน เพราะยังมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบประชาชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ โดยจะแก้ปัญหาให้เรียบร้อยภายใน 2-3 ปีนี้” พล.อ.อ.ประจิน กล่าว
สำหรับโครงการที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) นั้น ในหลักการที่ คตร.เข้ามาตรวจสอบเพื่อให้การดำเนินโครงการเกิดความโปร่งใส เป็นธรรม และเกิดประโยชน์ต่อผู้ใช้บริการ ดังนั้น หากยังไม่ชัดเจน และต้องเริ่มต้นหรือศึกษาเพิ่มเติมอีกต้องทำ ซึ่งหากโครงการนั้นมีงบประมารและแผนงานที่ชัดเจนแล้ว สามารถกันงบประมาณที่ได้รับในปีนี้ไว้ใช้ในปี 2558 ได้