“โฆสิต” เตือนรัฐบาลใหม่ยังไม่จำเป็นออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น หลังจากปีนี้คาดเศรษฐกิจไทยโต 1.5-2% และเศรษฐกิจไทยเริ่มโงหัวขึ้น เชื่อปีหน้าเศรษฐกิจไทยโตตามศักยภาพได้ 4% หลังจากรัฐบาลชุดออกออกมาตรการประชานิยมทั้งรถคันแรกและจำนำข้าวทำเสียวินัยการออมของประเทศ
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่เห็นความจำเป็นที่จะใช้ยาแรงมากระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศที่คาดว่าปีนี้จะมีการขยายตัวอยู่ที่ 1.5-2% เนื่องจากเห็นว่าเศรษฐกิจไทยเริ่มโงหัวขึ้นแล้ว หากมีการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยไม่จำเป็นเห็นว่าเป็นเรื่องที่อันตราย
“การกระตุ้นเศรษฐกิจควรทำเฉพาะในช่วงที่จำเป็นเท่านั้น ตอนนี้ยังไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องทำ และมองว่าปีหน้าเศรษฐกิจจะโตตามศักยภาพของประเทศที่ระดับ 4% ได้จาก 2 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจประเทศโต 2.5% และการเติบโตของเศรษฐกิจไทยขณะนี้ก็ไม่ได้รับอานิสงส์จากการเติบโตของการค้าโลกที่เติบโตขึ้น แต่การส่งออกไทยกลับติดลบ” นายโฆสิตกล่าว
นอกจากนี้ ตนไม่เห็นด้วยกับแนวทางการส่งเสริมให้เกิดการบริโภคเพิ่มมากขึ้นหรือประชานิยมเพื่อหวังกระตุ้นการเจริญเติบโตระยะสั้นเพราะจะทำให้วินัยการออมเสียไป รวมทั้งก่อให้เกิดหนี้ในภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้น แต่แนวทางที่ถูกต้องคือ การสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนรู้จักการออม โดยยอมรับว่าการออมภาคครัวเรือนจากเดิมที่เคยอยู่ระดับ 10% ในปี 2542 ปัจจุบันลดลงเหลือ 5% เท่านั้น ขณะที่อายุขัยของคนไทยนับวันจะนานขึ้น หากไม่มีการออมไว้จะมีปัญหาในอนาคต เนื่องจากไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย
ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ไม่ดีนักเพราะได้รับแรงกดดันจากนโยบายประชานิยมของรัฐบาลก่อนหน้า ซึ่งจะส่งผลกดดันต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยต่อเนื่องออกไปอย่างน้อยตลอดปีนี้และปีหน้า ทั้งโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล โครงการรถยนต์คันแรก เป็นต้น ขณะที่หนี้ภาคครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ
“แม้ว่าการส่งออกไทยปีนี้ไม่ดี แต่จีดีพีไทยปีนี้ยังโตได้ เพราะมาจากภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการที่เป็นตัวสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ”
นายโฆสิตกล่าวถึงรายชื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใหม่ที่ออกมาว่า รัฐมนตรีเศรษฐกิจเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถพร้อมที่จะขับเคลื่อนประเทศ เพราะเข้าใจว่ามีการเตรียมตัว และมีแผนการทำงานมาอยู่แล้ว โดยสิ่งแรกที่รัฐบาลต้องเร่งทำคือ การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและการเบิกจ่ายจากภาครัฐ รวมทั้งการทำงานให้โปร่งใส เพราะเป็นสิ่งที่ทุกคนจับตาดูอยู่ ส่วนที่ต่างชาติจะมองว่าไทยเป็นรัฐบาลทหารนั้น ถ้าประเทศชาติสงบได้ก็จะนำไปสู่การพัฒนาประเทศได้ ดังนั้น การมีฝ่ายความมั่นคงอยู่ใน ครม.น่าจะเป็นที่ยอมรับได้ในสังคมโลก