ปูนซิเมนต์ไทยปรับเป้ายอดขายปีนี้โตขึ้นอีก1หมื่นล้านบาทมาอยู่ที่ 4.86 แสนล้านบาท เนื่องจากมียอดขายโตขึ้นทุกกลุ่มธุรกิจจากการส่งออกเพิ่มและการรับรู้รายได้จากการซื้อกิจการ แต่กำไรสวนทาง ชี้ไตรมาส 3/57กำไรวูบต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน และไตรมาส2/57 เหตุมาร์จินธุรกิจซีเมนต์และเคมีภัณฑ์แคบลง และยอดใช้ปูนไตรมาส3 ติดลบ 2-3%
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)(SCC) เปิดเผยว่า บริษัทฯปรับเป้าหมายยอดขายในปีนี้เพิ่มจากเดิมที่ตั้งไว้ 4.76 แสนล้านบาท เพิ่มอีก 1 หมื่นล้านบาท เป็น 4.86 แสนล้านบาท เมื่อเทียบจากปีก่อนที่มียอดขาย 4.34 แสนล้านบาท เนื่องจากยอดขายของทุกธุรกิจโตขึ้น โดยเฉพาะเคมีภัณฑ์ที่คาดว่ามียอดขายโตขึ้นตามราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น การส่งออกที่เพิ่มขึ้นจากตลาดในประเทศที่หดตัวลง และการรับรู้รายได้จากการซื้อกิจการเพิ่มขึ้น
แม้ว่ายอดขายบริษัทฯในปีนี้เติบโตขึ้นกว่า 10%เมื่อเทียบจากปีก่อน แต่มีแนวโน้มกำไรสุทธิจะลดลง โดยไตรมาส 3 นี้ คาดว่ากำไรสุทธิจะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 9.79 พันล้านบาท และลดลงจากไตรมาส 2/2557 ที่มีกำไรสุทธิ 8.53 พันล้านบาท เนื่องจากราคาวัตถุดิบของปิโตรเคมีปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบที่ผันผวน ทำให้มาร์จินธุรกิจเคมีภัณฑ์ลดลง และความต้องการใช้ปูนในประเทศไตรมาส 3 นี้ คาดว่าจะติดลบ 2-3%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน วัสดุก่อสร้างติดลบ 8-9% ทำให้บริษัทต้องส่งออกเพิ่มขึ้น โดยราคาส่งออกปูนและวัสดุก่อสร้างมีกำไรน้อยมาก รวมทั้งรายได้จากเงินปันผลจากธุรกิจการลงทุนก็ลดลงด้วย
“นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเมืองในประเทศ ทำให้งบประมาณปีนี้ไม่ได้มีการเบิกออกมา ส่งผลให้ยอดใช้ปูนซีเมนต์ไตรมาส2 นี้จากเดิมที่คาดว่าจะโต 4-5% กลับไม่โตขึ้น และมองว่าไตรมาส3 นี้ยอดการใช้ปูนจะติดลบ 2-3% เพราะยังไม่มีงบประมาณออกมา แม้ว่าจะคลายความกังวลจากปัจจัยการเมือง แต่พอไตรมาส4 นี้จะมีการเบิกใช้จ่ายงบประมาณรัฐออกมา คาดว่าการใช้ปูนโต 0% ทำให้ทั้งปี 57 การใช้ปูนในประเทศโต 0-1% โดยบริษัทคาดว่าส่งออกปูนปีนี้ 5 ล้านตันเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ส่วนวัสดุก่อสร้างไตรมาส3 นี้คาดว่าติดลบ ต่อเนื่องจากไตรมาส2 นี้ แต่จะผงกหัวขึ้นในไตรมาส4 “
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในไตรมาส3นี้จะเป็นการปรับฐาน และไตรมาส4 จะผงกหัวขึ้น แต่จะเห็นผลชัดเจนในต้นปีหน้า เพราะมีการเบิกจ่ายงบประมาณ การลงทุนภาคเอกชน สร้างความเชื่อมั่นกลับคืนมา ทำให้ปีหน้าเศรษฐกิจไทยดีกว่าปีนี้แน่นอน ส่วนกรณีที่คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.)อนุมัติการลงทุนโครงการรถไฟรางคู่ จะยังไม่มีผลทำให้ความต้องการใช้ปูนเพิ่มขึ้นในทันที คงต้องรออีก 12-15 เดือนจึงจะเห็นการใช้ที่โตขึ้น และยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
นอกจากนี้ มีสัญญาณค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น เนื่องจากมีเงินไหลต่างชาติไหลเข้ามาในช่วง 7 เดือนแรกปีนี้แล้ว 1.95 แสนล้านบาท
ในระยะยาวเศรษฐกิจของไทยและอาเซียนจะมีความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืน บริษัทฯยังขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงยังคงเดินหน้าโครงการลงทุนในภูมิภาคตามแผนที่ได้วางไว้ อาทิ โครงการโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ใน สปป.ลาว อินโดนีเซีย เมียนมาร์ และกัมพูชา และโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม โดยปีหน้าโรงปูนที่อินโดนีเซียและกัมพูชาจะแล้วเสร็จ
ไตรมาส2 กำไรลด14%
นายกานต์ กล่าวถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2557ว่า บริษัทมีรายได้จากการขาย 1.24 แสนล้านบาท เพิ่ม 17% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาขายของธุรกิจเคมีภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น และเพิ่มขึ้น 2 % จากไตรมาสก่อน มีกำไรสำหรับงวด 8.53 พันล้านบาท ลดลง 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลการดำเนินงานที่ลดลงของธุรกิจการลงทุนและธุรกิจเคมีภัณฑ์ รวมทั้งความต้องการสินค้าวัสดุก่อสร้างในประเทศชะลอตัวลง ทำให้ต้องเพิ่มสัดส่วนการส่งออก ซึ่งมีมาร์จิ้นน้อยกว่า
โดยรายได้จากการขายในไตรมาส 2 นี้ แบ่งเป็นธุรกิจซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่สอง 4.63 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 10 %จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไร 3.44 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ธุรกิจเคมิคอลส์ มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่สอง 6.49 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 2.25 พันล้านบาท ลดลง 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ธุรกิจเปเปอร์ มีรายได้จากการขาย 1.58 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไร 887 ล้านบาท ลดลง 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนผลดำเนินงานช่วงครึ่งปีแรกของปี 2557 บริษัทมีรายได้จากการขาย 2.46 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของทุกธุรกิจ มีกำไรสำหรับงวด 1.69 หมื่นล้านบาท ลดลง 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปีนี้มีการปันกำไรในบริษัทย่อยไปให้ส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมมากขึ้น และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมลดลง
คณะกรรมการบริษัท มีมติให้ออกและเสนอหุ้นกู้ชุดใหม่ ครั้งที่ 2/2557(SCC18OA) จำนวนไม่เกิน 10,000 ล้านบาท อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยตามราคาตลาดในขณะที่ออก โดยเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ จะนำไปไถ่ถอนหุ้นกู้ SCC14OA จำนวน 5,000 ล้านบาท ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 1 ต.ค. 2557 และออกหุ้นกู้เพิ่มเติมอีกจำนวน 5,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนที่จะเกิดขึ้นต่อไป โดยเสนอขายให้กับ (1) ผู้ถือหุ้นกู้ (SCC14OA) ที่เป็นผู้ลงทุนประชาชนทั่วไป (2) ผู้ถือหุ้นกู้ SCC ชุดอื่น ๆ ที่เป็นผู้ลงทุนประชาชนทั่วไป และ (3) นักลงทุนที่เป็นผู้ลงทุนประชาชนทั่วไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมาย
ทั้งนี้ การออกและเสนอขายหุ้นกู้ของเอสซีจีเมื่อรวมหุ้นกู้ชุดใหม่ที่จะออกแล้ว จะมีวงเงินหุ้นกู้ ที่ออกรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 151,500 ล้านบาท
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2557 ในอัตรา 5.5 บาทต่อหุ้น เป็นเงินทั้งสิ้น 6,600 ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 28 ส.ค. 2557