SCC เตรียมปรับเป้าหมายยอดขายปีนี้โตเพิ่มขึ้น จากเป้าเดิม 4.76 แสนล้านบาท เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีดีขึ้น และการส่งออกปูน และวัสดุก่อสร้างเพิ่ม คาดยอดใช้ปูนในประเทศช่วงไตรมาส 3 ไม่โต รอลุ้นไตรมาส 4 มีโครงการลงทุนใหม่ของภาครัฐเข้ามาเสริม เผยเร่งโครงการลงทุนปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม หลังแนวโน้มราคาค่าเครื่องจักรพุ่ง ดันวงเงินลงทุนเกินเป้า 4.5 พันล้านเหรียญ ยอมรับสรุปเงินกู้โปรเจกต์เลื่อนเป็นต้นปี 58
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมปรับเป้าหมายยอดขายในปีนี้เพิ่มขึ้นอีก จากเดิมที่คาดว่ามียอดขายอยู่ที่ 4.76 แสนล้านบาท ที่โตขึ้นจากปี 2556 ประมาณ 10% เนื่องจากราคาปิโตรเคมีปรับตัวสูงขึ้น และบริษัทมีการส่งออกผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในเครือทั้งปูนซีเมนต์ วัสดุก่อสร้าง และเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้นด้วย
โดยปีนี้บริษัทฯ คาดว่าจะส่งออกคิดเป็น 28% ของยอดขาย เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ส่งออกมีสัดส่วน 26% และมีฐานรายได้จากธุรกิจในเครือที่ลงทุนในอาเซียนเพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อนที่มีสัดส่วนเพียง 9%
นายกานต์กล่าวต่อไปว่า ความต้องการใช้ปูนในประเทศช่วงไตรมาส 3 นี้จะไม่เติบโต เนื่องจากความต้องการใช้ปูนในภาคอีสาน ภาคเหนือ และใต้นั้นจะอ่อนตัวลง คาดว่าจะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ภาคกลางยังมีอัตราการใช้ปูนโตอยู่เนื่องจากมีโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินและคอนโดมิเนียมอยู่ ส่วนไตรมาส 4 นี้คงต้องรอว่าจะมีโครงการลงทุนจากภาครัฐเข้าเพิ่มเติมหรือไม่ แต่เชื่อว่าทั้งปี 2557 ความต้องการใช้ปูนจะโต 0% แม้ว่าไตรมาสแรกการใช้ปูนเติบโตขึ้น 4% ก็ตาม
ส่วนงบลงทุน 5 ปี วงเงินรวม 2.5 แสนล้านบาทนั้น บริษัทฯ มีแผนจะเพิ่มงบลงทุนอีก จากการเน้นซื้อกิจการเพิ่มเติมในอาเซียนมากขึ้น โดยเฉพาะพม่า และเวียดนาม ซึ่งมีความต้องการใช้ปูนและวัสดุก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง
***** ลุยปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม
ส่วนความคืบหน้าการลงทุนโครงการปิโตรเคมีครบวงจรในประเทศเวียดนามนั้น ขณะนี้บริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างหลายรายได้ทยอยยื่นเสนอราคามาคาดว่าสิ้นปีนี้จะได้ข้อสรุปวงเงินลงทุนทั้งหมด และการเจรจาเงินกู้โครงการดังกล่าวที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายปี 2557 ต้องเลื่อนไปเป็นต้นปีหน้าแทน เนื่องจากโครงการดังกล่าวเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ทำให้สถาบันการเงินต้องใช้เวลาในการพิจารณา ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับการเกิดรัฐประหารในไทย
โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เกาะ Long Son ในจังหวัด Ba Ria - Vung Tau ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม ได้กำหนดมูลค่าโครงการที่ 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเดิมบริษัทประเมินว่าต้นทุนโครงการนี้จะลดลง เนื่องจากช่วงปี 2551-2552 เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก โครงการลงทุนขนาดใหญ่มีน้อย และซัปพลายเออร์เครื่องจักรที่ส่งมอบยาวนานมีงานไม่มาก ทำให้เชื่อว่าราคาเครื่องจักรจะลดลง แต่ล่าสุดในช่วง 6 เดือนนี้เริ่มเห็นสัญญาณราคาเครื่องจักรไต่สูงขึ้น เป็นผลจากสหรัฐฯ มีการค้นพบก๊าซและน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (Shale Gas /Shale Oil) ทำให้เกิดโครงการผลิตน้ำมัน-ก๊าซฯ และปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ
ดังนั้น ตนจึงได้มีการเจรจากับพาร์ตเนอร์และสถาบันการเงินเพื่อเร่งรัดโครงการดังกล่าวให้เร็วขึ้นหลังโครงการดังกล่าวล่าช้ามานานถึง 7 ปี เพราะหากโครงการนี้ยังดีเลย์ออกไป 1-2 ปี มูลค่าการลงทุนอาจจะเพิ่มขึ้นได้ โดยโครงการนี้ได้ตั้งที่ปรึกษาทางการเงิน คือ ซูมิโตโม มิตซุย เข้ามาดูแลด้วย
ทั้งนี้ โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์แห่งแรกในเวียดนามมีผู้ถือหุ้นดังนี้ คือ SCC กาตาร์ปิโตรเลียม อินเตอร์เนชั่นแนล (QPI) ปิโตรเวียดนาม (PVN) และวีนาเคม (Vinachem) โดย QPI จะเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบโพรเพนและแนฟทาที่ใช้ในกระบวนการผลิตในอนาคต ขณะที่ PV Gas บริษัทลูกของปิโตรเวียดนามจะเป็นผู้จัดหาก๊าซอีเทน โดยมีกำลังผลิตโอเลฟินส์ 1.4 ล้านตันต่อปี และโครงการขั้นกลางและปลายน้ำเพื่อป้อนตลาดภายในเวียดนาม
นายกานต์กล่าวถึงความคืบหน้าการลงทุนโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ 1.8 ล้านตัน มูลค่า 1.24 หมื่นล้านบาทในพม่าว่า โครงการดังกล่าวได้เดินหน้าไปตามแผนงาน คาดว่าจะแล้วเสร็จในกลางปี 2559 เนื่องจากเศรษฐกิจในพม่าเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้บริษัทฯ ยังต้องส่งออกปูนไปจำหน่ายที่พม่าอีกแม้ว่าโรงงานปูนดังกล่าวจะแล้วเสร็จก็ตามเพราะความต้องการใช้ปูนในประเทศสูงถึง 4 ล้านตัน/ปี
นอกจากนี้ ยังมีแผนจะตั้งโรงงานผลิตวัสดุก่อสร้างในพม่าช่วง 1-2 ปีข้างหน้าเพื่อต่อยอดธุรกิจซีเมนต์ ทั้งนี้คงต้องติดตามตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพม่าด้วย โดยยอมรับว่าราคาค่าเช่าที่ดินได้ปรับตัวสูงมาก และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะไฟฟ้า เนื่องจากพม่ายังขาดแคลนไฟฟ้าอีกมาก
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมปรับเป้าหมายยอดขายในปีนี้เพิ่มขึ้นอีก จากเดิมที่คาดว่ามียอดขายอยู่ที่ 4.76 แสนล้านบาท ที่โตขึ้นจากปี 2556 ประมาณ 10% เนื่องจากราคาปิโตรเคมีปรับตัวสูงขึ้น และบริษัทมีการส่งออกผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในเครือทั้งปูนซีเมนต์ วัสดุก่อสร้าง และเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้นด้วย
โดยปีนี้บริษัทฯ คาดว่าจะส่งออกคิดเป็น 28% ของยอดขาย เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ส่งออกมีสัดส่วน 26% และมีฐานรายได้จากธุรกิจในเครือที่ลงทุนในอาเซียนเพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อนที่มีสัดส่วนเพียง 9%
นายกานต์กล่าวต่อไปว่า ความต้องการใช้ปูนในประเทศช่วงไตรมาส 3 นี้จะไม่เติบโต เนื่องจากความต้องการใช้ปูนในภาคอีสาน ภาคเหนือ และใต้นั้นจะอ่อนตัวลง คาดว่าจะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ภาคกลางยังมีอัตราการใช้ปูนโตอยู่เนื่องจากมีโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินและคอนโดมิเนียมอยู่ ส่วนไตรมาส 4 นี้คงต้องรอว่าจะมีโครงการลงทุนจากภาครัฐเข้าเพิ่มเติมหรือไม่ แต่เชื่อว่าทั้งปี 2557 ความต้องการใช้ปูนจะโต 0% แม้ว่าไตรมาสแรกการใช้ปูนเติบโตขึ้น 4% ก็ตาม
ส่วนงบลงทุน 5 ปี วงเงินรวม 2.5 แสนล้านบาทนั้น บริษัทฯ มีแผนจะเพิ่มงบลงทุนอีก จากการเน้นซื้อกิจการเพิ่มเติมในอาเซียนมากขึ้น โดยเฉพาะพม่า และเวียดนาม ซึ่งมีความต้องการใช้ปูนและวัสดุก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง
***** ลุยปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม
ส่วนความคืบหน้าการลงทุนโครงการปิโตรเคมีครบวงจรในประเทศเวียดนามนั้น ขณะนี้บริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างหลายรายได้ทยอยยื่นเสนอราคามาคาดว่าสิ้นปีนี้จะได้ข้อสรุปวงเงินลงทุนทั้งหมด และการเจรจาเงินกู้โครงการดังกล่าวที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายปี 2557 ต้องเลื่อนไปเป็นต้นปีหน้าแทน เนื่องจากโครงการดังกล่าวเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ทำให้สถาบันการเงินต้องใช้เวลาในการพิจารณา ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับการเกิดรัฐประหารในไทย
โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เกาะ Long Son ในจังหวัด Ba Ria - Vung Tau ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม ได้กำหนดมูลค่าโครงการที่ 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเดิมบริษัทประเมินว่าต้นทุนโครงการนี้จะลดลง เนื่องจากช่วงปี 2551-2552 เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก โครงการลงทุนขนาดใหญ่มีน้อย และซัปพลายเออร์เครื่องจักรที่ส่งมอบยาวนานมีงานไม่มาก ทำให้เชื่อว่าราคาเครื่องจักรจะลดลง แต่ล่าสุดในช่วง 6 เดือนนี้เริ่มเห็นสัญญาณราคาเครื่องจักรไต่สูงขึ้น เป็นผลจากสหรัฐฯ มีการค้นพบก๊าซและน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (Shale Gas /Shale Oil) ทำให้เกิดโครงการผลิตน้ำมัน-ก๊าซฯ และปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ
ดังนั้น ตนจึงได้มีการเจรจากับพาร์ตเนอร์และสถาบันการเงินเพื่อเร่งรัดโครงการดังกล่าวให้เร็วขึ้นหลังโครงการดังกล่าวล่าช้ามานานถึง 7 ปี เพราะหากโครงการนี้ยังดีเลย์ออกไป 1-2 ปี มูลค่าการลงทุนอาจจะเพิ่มขึ้นได้ โดยโครงการนี้ได้ตั้งที่ปรึกษาทางการเงิน คือ ซูมิโตโม มิตซุย เข้ามาดูแลด้วย
ทั้งนี้ โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์แห่งแรกในเวียดนามมีผู้ถือหุ้นดังนี้ คือ SCC กาตาร์ปิโตรเลียม อินเตอร์เนชั่นแนล (QPI) ปิโตรเวียดนาม (PVN) และวีนาเคม (Vinachem) โดย QPI จะเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบโพรเพนและแนฟทาที่ใช้ในกระบวนการผลิตในอนาคต ขณะที่ PV Gas บริษัทลูกของปิโตรเวียดนามจะเป็นผู้จัดหาก๊าซอีเทน โดยมีกำลังผลิตโอเลฟินส์ 1.4 ล้านตันต่อปี และโครงการขั้นกลางและปลายน้ำเพื่อป้อนตลาดภายในเวียดนาม
นายกานต์กล่าวถึงความคืบหน้าการลงทุนโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ 1.8 ล้านตัน มูลค่า 1.24 หมื่นล้านบาทในพม่าว่า โครงการดังกล่าวได้เดินหน้าไปตามแผนงาน คาดว่าจะแล้วเสร็จในกลางปี 2559 เนื่องจากเศรษฐกิจในพม่าเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้บริษัทฯ ยังต้องส่งออกปูนไปจำหน่ายที่พม่าอีกแม้ว่าโรงงานปูนดังกล่าวจะแล้วเสร็จก็ตามเพราะความต้องการใช้ปูนในประเทศสูงถึง 4 ล้านตัน/ปี
นอกจากนี้ ยังมีแผนจะตั้งโรงงานผลิตวัสดุก่อสร้างในพม่าช่วง 1-2 ปีข้างหน้าเพื่อต่อยอดธุรกิจซีเมนต์ ทั้งนี้คงต้องติดตามตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพม่าด้วย โดยยอมรับว่าราคาค่าเช่าที่ดินได้ปรับตัวสูงมาก และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะไฟฟ้า เนื่องจากพม่ายังขาดแคลนไฟฟ้าอีกมาก